วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

การใช้โปรแกรม Simulator (ห้องแห่งกาลเวลา)

วิธีใช้งานเบื้องต้น
1. คลาย zip ออกมา จะได้ไฟล์ Trade_Simulator_Installer.exe
2. Install ตัวโปรแกรมเข้าไป โดยเลือกใส่ใน Folder ของ MT4 ที่เราลงไว้ เช่น C:\ Program Files\Exness
3. ให้ไปตั้งค่า วัน/เวลา ของคอมพิวเตอร์ของเราให้เป็น ค.ศ. (2012) ถ้าเป็น พ.ศ. (2055) โปรแกรมจะงง
4. ให้เปิด MT4 ขึ้นมา แล้วก็เปิด Strategy Tester แล้วก็ check visual mode แล้วก็ start
5. ถ้าอยากเปิดออเดอร์ ให้ไปลาก script ตัวที่เราอยากเปิด เช่น LFH_Simulator_Buy_Open แล้วก็เลือกรายละเอียดตามที่ต้องการ
6. ถ้าอยากปิดออเดอร์ ก็ไปลาก script ตัวปิด เช่น LFH_Simulator_Buy_Close

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/simulator-()/?/

การใช้ MACD ทำกำไรในตลาด FOREX

การใช้ MACD ทำกำไรในตลาด FOREX พื้นฐานถึงขึ้นสูง[Style TradeMillion13Thai]

http://www.youtube.com/watch?v=lAKIAGGI7bw

การใช้ MACD(Moving Average Convergence Divergence)
เหมาะในสภาวะตลาดที่เคลื่อนที่เป็นเทรน

ค่าเดิม 12, 26, 9
ค่าใหม่ 15,35,9

สัญญาณเข้า
1. ถ้าตัว Histogram (ภูเขา) อยู่เหนือเส้น Zero line ให้ Buy เราเรียกว่าภูเขาขึ้นบนบก
2. ตัว Histogram (ภูเขา) ถ้าอยู่ใต้เส้น Zero line ให้ Sell เราเรียกว่าภูเขาลงใต้น้ำ
3. ถ้าเส้น Signal 2เส้นห่างกันมาสัก 2-3 แท่งHistogram ให้เตรียม Buy/Sell
4. ถ้าเกิด Divergance ให้เตรียม Buy/Sell ไม่ต้องรอให้อยู่เหนือ-ใต้เส้น Zero line

สิ่งที่ควรระวัง

1. ถ้า Histogram มีความสูงติดๆกับเส้น Zero line ก็ไม่ควรเทรด
2. ถ้าเส้น Signal 2 เส้นติดกันมากก็ไม่ควรเทรด
3. การแก้ Divergance
4. ถ้าเส้น Signal 2 เส้นห่างกันมากก่อนถึงเส้น Zero line ให้เตรียมปิดออร์เดอร์


 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/macd-forex/?/

คำนวณกำไร-ขาดทุน

คำนวณกำไร-ขาดทุน
การคำนวณกำไร-ขาดทุน ก็ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นอีกอย่างหนึ่งในการบริหารพอร์ทลงทุนและการหาเป้าหมายกำไร-ขาดทุน

ดังนั้น ในบทความนี้ผมจึงอยากจะมาพูดถึงเรื่องการคำนวณ-กำไรขาดทุนหวังว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่เทรดเดอร์ทุกท่านไม่มากก็น้อย
คำนวณกำไร-ขาดทุน
การคำนวณกำไร-ขาดทุน ก็ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นอีกอย่างหนึ่งในการบริหารพอร์ทลงทุนและการหาเป้าหมายกำไร-ขาดทุน

ดังนั้น ในบทความนี้ผมจึงอยากจะมาพูดถึงเรื่องการคำนวณ-กำไรขาดทุนหวังว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่เทรดเดอร์ทุกท่านไม่มากก็น้อย

คำนวณกำไร-ขาดทุน
สูตรคำนวณ มูลค่า 1lot=จำนวนทศนิยม/ราคาปัจจุบัน x  contract size
สูตรคำนวณกำไร-ขาดทุน=pip x มูลค่าlot


ตัวอย่าง

USD/JPY = 119.80 คำนวณว่าถ้าราคาเคลื่อนที่ 10 pip จะเป็นเงินเท่าไหร่

คำนวณมูลค่า 1lot  0.01/119.80 x 100,000 = 8.34 แสดงว่า 1pip = 8.34$ ต่อคำสั่ง 1lot

คำนวณกำไร-ขาดทุน 8.34 x 10pip= 83.4 ราคาเคลื่อนที่ 10pipจะได้กำไร-ขาดทุนที่ 83.4$


คำนวณคู่เงินที่ ***/USD ไม่ได้อยู่ข้างหน้า

EUR/USD = 1.5531 คำนวณว่าถ้าราคาเคลื่อนที่ 10 pip จะเป็นเงินเท่าไหร่

คำนวณมูลค่า 1lot ( 0.0001/1.5531 x 100,000) x 1.5531 = 10

แสดงว่า 1pip = 10$ ต่อคำสั่ง 1lot
 
 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t518/?/

[Review บทความ cmFX] เรื่องที่ 2 : Trading Psychology

[Review บทความ cmFX] เรื่องที่ 2 : Trading Psychology


บท ความชุดนี้เป็นบทความแปลเกี่ยวกับ "จิตวิทยาการลงทุน” ซึ่งเป็นสิ่งที่หาอ่านยากมากในไทย, จึงเป็นอีกหนึ่งชุดของบทความที่เป็น "The must see" ของ cmFX เลยทีเดียวครับ, เชิญติดตามอ่านได้เลยครับที่

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/(review-cmfx)-2-trading-psychology/?/

ทำความรู้จัก Leverage

Leverage คือ พลัง,อำนาจ(ตัวทำให้เรามีอำนาจในการซื้อมากยิ่งขึ้น)

สมมุติว่า 1lot มีมูลค่าเท่ากับ 100,000$
แสดงว่า เราต้องใช้เงินถึง 100,000$ จึงสามารถที่จะเปิดออร์เดอร์ 1lot ได้

คำถาม แล้ว Leverage จะช่วยอะไรเราได้บ้าง?
คำ ตอบ Leverage จะทำให้เรามีอำนาจการซื้อมายิ่งขึ้น ถ้า Leverage เช่น ถ้าเลือก Leverage 1:1,000 แสดงว่าเรามีอำนาจในการซื้อเพิ่มขึ้น 1,000 เท่าของทุนจริง เป็นต้น
แสดงว่า... ถ้าเราเลือก Leverage 1:1,000 เรามีทุนเพียงแค่ 100$ ก็สามารถเทรด 1lotได้
(ทุน 150$ คูณด้วย Leverage 1,000 มีค่าเท่ากับ 100*1,000 = 100,000)

เห็นไหมครับว่า Leverage จะช่วยทำให้เรามีอำนาจในการซื้อมากยิ่งขึ้น
แต่ต้องคำนึงด้วยนะครับว่า "มีข้อดี ก็ย่อมมีข้อเสีย"

Leverage ก็เปรียบเสมือนดาบสองคม มีทั้งดีบ้างละไม่ดีบ้าง ลองดูตัวอย่างตามนี้เลยครับ

สมมุติว่า วิลลี่ มีเงินในบัญชี 100$ เขาได้ใช้ Leverage 0 เขาได้ซื้อหุ้นไป ราคา 10$
คือเขาต้องจ่ายเงินไป 10$ คือจ่ายเต็มราคาเพราะเขาเลือก Leverage 0 เพื่อที่จะซื้อหุ้นตัวนั้นมา
แสดงว่าเงินที่เหลือในบัญชีของ วิลลี่ คือ 90$ ถ้าหากกราฟเคลื่อนที่จุดละ 1$ วิลลี่จะขาดทุนได้มากที่สุด 90 จุด
หาก วันหนึ่งกราฟลงมามากกว่า 90 จุด ทำให้วิลลี่ขาดทุนอย่างหนักจนโดน Margin call (ระบบจะทำการปิดออร์ให้เองอัตโนมัติ) แล้ววิลลี่ ก็จะได้รับเงินส่วนที่ประกันไว้คืน (Used Margin) 10$ ทำเขายังเหลือเงินอยู่ 10$ ที่จะสามารถเทรดต่อไปได้

มาดูอีกตัวอย่างหนึ่งนะครับ

สมมุติว่า วิลลี่ มีเงินในบัญชี 100$ เขาได้ใช้ Leverage 1:10 เขาได้ซื้อหุ้นไป ราคา 10$
เขาต้องจ่ายเงินไปเพียงแค่ 1$ เพราะเขาเลือก Leverage 1:10 เพื่อที่จะซื้อหุ้นตัวนั้นมา
แสดงว่าเงินที่เหลือในบัญชีของ วิลลี่ คือ 99$ ถ้าหากกราฟเคลื่อนที่จุดละ 1$ วิลลี่จะขาดทุนได้มากที่สุด 99 จุด
หาก วันหนึ่งกราฟลงมามากกว่า 99 จุด ทำให้วิลลี่ขาดทุนอย่างหนัก จนโดน Margin call (ระบบจะทำการปิดออร์ให้เองอัตโนมัติ) แล้ววิลลี่ ก็จะได้รับเงินส่วนที่ประกันไว้คืน(Used Margin)วิลลี่ ก็จะได้รับเงินส่วนที่ซื้อไปคืน 0.1$ ทำเขายังเหลือเงินอยู่ 0.1$ คือ แทบจะหมดตูดและไม่สามารถเทรดต่อไปได้อีกเลย

เห็นไหมครับว่า Leverage เปรียบเสมือนดาบสองคมถึงแม้การใช้ Leverage จะทำให้เราซื้อหุ้นมาในราคาต่ำกว่าที่เป็นจริง แต่ถ้าเราไม่รู้จักการตัดขาดทุนหรือไม่มีการวางแผนที่ดีแล้วล่ะก็ มาเลือกLeverage สูงๆ

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/leverage/?/

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2558

[Review บทความ cmFX] เรื่องที่ 3 : ระบบเทรด

[Review บทความ cmFX] เรื่องที่ 3 : ระบบเทรด


ทุก ท่านเคยรู้หรือไม่ว่า ChiangmaiFX เป็นแหล่งรวมของ "ระบบเทรด" ซึ่งได้ผ่านการ review และคัดเลือกมาให้พวกเราได้ทดลองใช้กัน, รวมถึงวิธีการใช้ระบบนั้นๆ และถ้ามีไฟล์ที่จำเป็น ก็จะมีให้ Download, เรียกว่าครบถ้วนเพียบพร้อมเรื่องระบบเทรดเลยทีเดียว, สำหรับคนที่มองหาระบบสักระบบหนึ่งที่เข้ากับตัวเอง ที่นี่นับว่าเป็นขุมทองเลยทีเดียว, ถ้าสนใจก็เชิญอ่านได้ที่เลยครับ

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/(review-cmfx)-3/?/

[Review บทความ cmFX] เรื่องที่ 4 : วิธีการออกที่ได้ผล

[Review บทความ cmFX] เรื่องที่ 4 : วิธีการออกที่ได้ผล


บท ความแปลชุดนี้ เป็นบทความชุดแรกๆ ที่แปลจนจบ และมีผู้อ่านติดตามมากมาย (เมื่อ 1-2 ปีก่อน) แต่หลังจากจบบริบูรณ์ก็ไม่ได้มีการกล่าวถึงอีก วันนี้มีโอกาสจึงเอามาเผยแพร่อีกครั้ง ภายใต้ concept ว่า "การออก” เป็นสิ่งที่มีผลต่อความสำเร็จในการเทรด มากกว่า “การเข้า”, เนื้อหาหลักจะพูดถึงความสำคัญของการปิดออเดอร์ และวิธีทำ รวมถึงตัวอย่าง, นับว่าเป็นบทความที่มีคุณค่ามากทีเดียว, ถ้าสนใจเชิญอ่านได้ที่

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/(review-cmfx)-4/?/

เรื่องของ Swap

เรื่องของ Swap
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อคืนผมเปิดออเดอร์ sell G/J ไว้, ตั้ง TP ไว้แล้วก็นอน, พอตื่นเช้าขึ้นมาก็เปิดดูออเดอร์ผ่าน iPhone บนเตียง, พบว่าออเดอร์ชน TP ไปเรียบร้อย (ใน iPhone จะโชว์เฉพาะข้อมูลสำคัญของออเดอร์ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยจะซ่อนไว้) ผมก็ประเมิน TP คร่าวๆ ว่าควรจะได้ประมาณ 288$, โดนหักค่าคอม 9$ ก็ควรจะเหลือประมาณ 279$, แต่เห็นกำไรเหลือแค่ 250 นิดๆ, นั่นคือกำไรหายไป 20$ กว่าๆ ซึ่งถือว่าค่อนข้างเยอะ, ตอนนั้นงงไปเล็กน้อย (อาการเหมือนโดน stun ไป 3 วิ ในเกม), ผมจึงเปิดดูออเดอร์ในคอมฯ เพื่อเช็ครายละเอียด ถึงได้ก็พบว่า อ๋อ มันโดน "Swap คืนวันพุธ" ไปเต็มๆ นี่เอง !


ที่นี้ก็เข้าเรื่องเลยว่า อะไรคือ Swap ? และ อะไรคือ Swap วันพุธ ?
ผม ขออนุญาต simplify คำอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ นะครับ เพราะถ้าอยากได้รายละเอียดเป๊ะๆ เต็มๆ คงหาจาก google ได้ไม่ยาก, ผมขอเล่าให้ฟังเป็นสรุปง่ายๆ ละกัน

Swap คือดอกเบี้ยข้ามคืนในการถือออเดอร์ข้ามคืนนั่นเอง (ซึ่งโดยมากจะคิดกันที่เวลาเที่ยงคืนของ server, ก็อาจจะประมาณ 7 โมงเช้าบ้านเรา)
โดยทฤษฏีแล้ว Swap มีทั้งบวก ทั้งลบ, เช่น ถ้าเราถือ G/J ออเดอร์ "Sell" ข้ามคืน อาจจะต้อง"เสีย" Swap, แต่ถ้าถือ G/J ออเดอร์ Buy ข้ามคืน ก็จะ"ได้" Swap, ส่วนอัตราที่ได้กับเสีย ก็แล้วแต่โบรคเขาจะกำหนดและแจ้งไว้ เลย, โดยมากโบรคก็จะขอกิน swap หน่อย โดยถ้าเราเสีย swap โบรคก็จะเก็บเยอะ, แต่ถ้าเราได้ swap โบรคก็จะจ่ายนิดเดียว, หรือกรณีเลวร้ายหน่อย (เช่น ทองคำ XAU) บางโบรคก็ประกาศไว้เลยว่า จะเก็บ swap ทั้ง Buy และ Sell ! ส่วนคู่ไหน Buy-Sell ได้เสียเท่าไหร่ ต้องไปเช็คกับโบรคที่ตัวเองเทรดเลย เพราะแต่ละโบรคเก็บไม่เหมือนกัน

โดย ปกติแล้ว Swap จะโดนกันเล็กน้อยมาก น้อยจนส่วนมากเราไม่ใส่ใจกัน, แต่... ถ้าเป็นคืนวันพุธ จะโดนหนักหน่อย เพราะเขาจะยกเอา Swap ของวันเสาร์กับอาทิตย์ มาคิดรวมไว้ในคืนวันพุธ (เพราะการเคลียร์ออเดอร์เป็น T+3, จึงมาตกที่วันพุธ, อันนี้เป็นรายละเอียดที่โบรคกับวงการเทรดคุ้นเคย ถ้าเราไม่คุ้นก็ข้ามไปเลย) ฉะนั้น ถ้าเราถือออเดอร์ข้ามคืนวันพุธ ก็จะมีเรื่อง "Swap 3 เท่า" มาเกี่ยวข้อง, ถ้าโดนคู่ที่โดน swap หนักหน่อย ประกอบกับเรื่องวันพุธ ตัวเลขก็จะเยอะขึ้นมาอย่างมีนัยยะสำคัญนั่นเอง !

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/swap/?/

การใช้สคริปต์ เปิด-ปิด ออเดอร์

การใช้สคริปต์ เปิด-ปิด ออเดอร์
หลายคนคงเจอปัญหาเหมือนกันกับผม คือเมื่อเปิดออเดอร์แล้ว ขี้เกียจตั้ง TP หรือ SL เพราะต้องมานั่งบวกลบ หรือกำหนดจุดที่จะตั้ง อีกทั้งบางทีเปิดออเดอร์ช่วงข่าวออก ยังไม่ได้ตั้งอะไรเลยวิ่งซะไกลแล้ว ถูกทางก็ดีหน่อย ถ้าผิดทางมีกระโดดปิดแทบไม่ทัน แถมบางโบรก ดันไม่ยอมให้เปิด หรือปิดออเดอร์อีก ปัญหานี้แก้ได้โดยการใช้สคริปต์ ลองโหลดไปใช้ดูครับ

 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t501/?/

[Review บทความ cmFX] เรื่องที่ 8 : "YTC Price Action Trader

[Review บทความ cmFX] เรื่องที่ 8 : "YTC Price Action Trader"
นี่เป็น โครงการแปลหนังสือ Price Action อีกเล่ม, โดยคัดเลือกแปลตอนดีๆ มาให้ทุกท่านได้อ่านกันฟรีๆ อีกเช่นเคย เล่มนี้จะมีทั้งตัวอย่าง รูปประกอบที่ทำให้ Price Action ที่ว่าเป็นเรื่องยาก กลายเป็นเรื่องที่ง่ายต่อความเข้าใจ, ถ้าสนใจก็เชิญที่

 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/(review-cmfx)-8-'ytc-price-action-trader'/?/

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558

[Review บทความ cmFX] เรื่องที่ 9 : "วิธีอ่านข่าวจาก Forex Factory

[Review บทความ cmFX] เรื่องที่ 9 : "วิธีอ่านข่าวจาก Forex Factory"
บท ความนี้ จะเป็นบทความต้นฉบับจาก cmFX ของเรา (ไม่ใช่บทความแปล) ซึ่งจะอธิบายให้เข้าใจถึงวิธีการอ่านข่าวจาก Forex Factory นั่นเอง, ถ้าสนใจข่าวและยังงงกับ Forex Factory บทความนี้น่าจะช่วยท่านได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

 
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/(review-cmfx)-9-'-forex-factory'/?/

[Review บทความ cmFX] เรื่องที่ 10 : "Basic and Advance Technical ฉบับแปล"

[Review บทความ cmFX] เรื่องที่ 10 : "Basic and Advance Technical ฉบับแปล"
บท ความชุดนี้ เป็นบทความแปลปัดฝุ่นจาก thailandinvestorclub.com ซึ่งเป็นบทความที่ครอบคลุมวิชา Technical ค่อนข้างดี เริ่มตั้งแต่ Basic ไปจนถึง Advance รวมไว้มากถึง 36 บทความ เรียกว่าเป็นชุดที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว ถ้าสนใจเชิญติดตามอ่านได้จาก

 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/(review-cmfx)-10-'basic-and-advance-technical-'/?/

[Review บทความ cmFX] เรื่องที่ 5 : Plan your trade and Trade your Plan

[Review บทความ cmFX] เรื่องที่ 5 : Plan your trade and Trade your Plan
บท ความสั้นชุดนี้ เป็นบทความที่พูดถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยง, ระบบเทรด และวินัย ว่าจะทำให้การเทรดของเรายั่งยืนได้อย่างไร พร้อมทั้งมีตัวอย่างการทำจริงๆ ให้เห็นว่าทำได้จริงๆ, ถ้ายังไม่เคยได้อ่านผ่านตา ขอแนะนำให้ลองอ่านดูได้ครับที่

 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/(review-cmfx)-5-plan-your-trade-and-trade-your-plan/?/


การ ลงทุนในทองคำมี ความเสี่ยงขนาดไหน  ทุกคนรู้อยู่แล้วมาทองคำเป็นสิ่งที่มีความผันผวน แม้จะเล็กน้อย ก็มีความผันผวนทำให้การลงทุนนั้น ไม่ชัดเจนว่าจะได้กำไรจากทองคำ100% ดังนั้น การยอมรับความเสี่ยงในระดับหนึ่งจะทำให้ผู้ที่ลงทุนในทองคำนั้นอุ่นใจ และ การกล้าจะถือกำไรยาวๆ เมื่อทองคำกำลังขึ้น พร้อมๆกับข่าว หรือ พร้อมที่จะตัดใจขาย เมื่อทองคำไม่ ขึ้นต่อแล้ว และเมื่อไรจะรู้ว่าทองคำขึ้นจนหมดแรงหรือลงจนสุดแรงแล้ว ก็ต้องดูข่าว พร้อมๆกับการวิเคราะห์ในแนวทางของตัวเอง ว่า มั่นใจได้สักแค่ไหน หากมั่นใจแล้ว การลงทุนในทองคำก็เปรียบเสมือนการเล่นหมากฮอท หากเดินถูก ก็กินเขา หากเดิน ผิด ศัตรูก็จะกินเรา เหมือนกับตลาดทองคำ มีได้ ก็ต้องมีเสีย ดังนั้นความเสี่ยงที่จะเกิดก็คือ 50/50 สำหรับทองคำ แต่หากใครที่ได้ เล่นทองคำและพอรู้จักทางจับทางได้แล้ว ก็จะลดความเสี่ยง และ รู้ว่าควรเล่นยังไงกับทองคำ ทุกวันนี้เศรษฐกิจทางการเมืองหรือประเทศไม่ค่อยดีทองคำก็จะวิ่งไปเรื่อยๆ ตามราคาที่เหมาะสมของตัวมันเอง และ หาก วันไหนคนไม่มั่นใจในการลงทุนกับเงินตรา วันนั้น ก็จะเป็นวันของทองคำจะกลายเป็นกระทิงดุต่อไป

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t493/?/

การลงทุนในทองคำมีความเสี่ยงขนาดไหน



การ ลงทุนในทองคำมี ความเสี่ยงขนาดไหน  ทุกคนรู้อยู่แล้วมาทองคำเป็นสิ่งที่มีความผันผวน แม้จะเล็กน้อย ก็มีความผันผวนทำให้การลงทุนนั้น ไม่ชัดเจนว่าจะได้กำไรจากทองคำ100% ดังนั้น การยอมรับความเสี่ยงในระดับหนึ่งจะทำให้ผู้ที่ลงทุนในทองคำนั้นอุ่นใจ และ การกล้าจะถือกำไรยาวๆ เมื่อทองคำกำลังขึ้น พร้อมๆกับข่าว หรือ พร้อมที่จะตัดใจขาย เมื่อทองคำไม่ ขึ้นต่อแล้ว และเมื่อไรจะรู้ว่าทองคำขึ้นจนหมดแรงหรือลงจนสุดแรงแล้ว ก็ต้องดูข่าว พร้อมๆกับการวิเคราะห์ในแนวทางของตัวเอง ว่า มั่นใจได้สักแค่ไหน หากมั่นใจแล้ว การลงทุนในทองคำก็เปรียบเสมือนการเล่นหมากฮอท หากเดินถูก ก็กินเขา หากเดิน ผิด ศัตรูก็จะกินเรา เหมือนกับตลาดทองคำ มีได้ ก็ต้องมีเสีย ดังนั้นความเสี่ยงที่จะเกิดก็คือ 50/50 สำหรับทองคำ แต่หากใครที่ได้ เล่นทองคำและพอรู้จักทางจับทางได้แล้ว ก็จะลดความเสี่ยง และ รู้ว่าควรเล่นยังไงกับทองคำ ทุกวันนี้เศรษฐกิจทางการเมืองหรือประเทศไม่ค่อยดีทองคำก็จะวิ่งไปเรื่อยๆ ตามราคาที่เหมาะสมของตัวมันเอง และ หาก วันไหนคนไม่มั่นใจในการลงทุนกับเงินตรา วันนั้น ก็จะเป็นวันของทองคำจะกลายเป็นกระทิงดุต่อไป

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t493/?/

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558

วิธีลงทุนในทองคำ(คำแนะนำ)

การลงทุนในทองคำ


เป็น กระแสที่นักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความนิยมเป็นอย่างมาก โดยนักลงทุนสามารถลงทุนได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ด้วยเหตุผลที่มีอย่างมากมายที่สามารถดึงดูดนักลงทุน เช่น การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาทองคำตามสถิติตั้งแต่ปี 2001 ราคาทองคำได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 150% ความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นจากกำลังการผลิตที่ลดลง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องใน ช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าขณะนี้ราคาทองจะปรับตัวลดลงก็ตาม ความนิยมในการลงทุนก็มิได้ลดน้อยลงเลย บทความนี้ก็อยากจะพูดทั้ง 2 มุมมองของการลงทุนในทองคำไม่ว่าทางตรงโดยการซื้อทองคำแท่งเอง และการลงทุนโดยอาศัยความชำนาญของผู้บริหารกองทุน

1. การลงทุนโดยตรง

นัก ลงทุนส่วนใหญ่แล้วจะนิยมซื้อทองคำแท่ง หรือทองรูปพรรณมาเก็บไว้ ช่วงที่ผ่านมาราคาขึ้นแรงๆ คนก็เอาไปขาย บางช่วงที่ราคาปรับลดลง คนก็ไปซื้อเก็บไว้เพื่อเก็งกำไร การที่นักลงทุนจะตัดสินใจซื้อหรือขายนั้น ผมอยากแนะนำให้ท่านได้ติดตามสถานการณ์และปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำด้วย เช่น ในช่วงที่ผ่านมาราคาทองปรับตัวสูงขึ้นเพราะอะไร เราก็ต้องไปดูและศึกษาว่า Demand และ Supply นั้นสะท้อนให้เห็นถึงมูลค่าหรือราคาจริงของทองคำไหม หรือเป็นเพราะเกิดจากการเก็งกำไรของ Hedge Fund อย่างที่ผ่านมาไม่กี่เดือน ตัวอย่างที่ผ่านมาสำหรับสถานการณ์การซื้อขายทองคำในช่วงสงกรานต์ จะเห็นได้ว่าความต้องการซื้อทองคำปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากราคาทองคำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นตามด้วอย่างไรก็ดี การลงทุนในทองคำก็ถือเป็นการลงทุนที่ใช้ในการลดผลกระทบจากเงินเฟ้อได้ เนื่องจากถ้าเรามองราคาทองคำระยะยาวแล้ว ทองคำก็ยังคงมีมูลค่าสูงอยู่ดี แม้ปรับลดด้วยอัตราเงินเฟ้อแล้วก็ตาม

2. การลงทุนผ่านกองทุนรวม

ซึ่ง ถือเป็นการอาศัยความเชี่ยวชาญของ บลจ. ต่างๆ ซึ่งเท่าที่มีอยู่ในตอนนี้ เช่น TMB Gold Fund, ING Golden Star link, BT FIF Golden link เป็นต้น อย่างที่เราทราบกันดี การลงทุนในกองทุนรวมมีขั้นตอนในการตัดสินใจพิจารณาหามูลค่าของการลงทุนนั้นๆ ก่อนตัดสินใจซื้อหรือขาย โดยกลยุทธ์การซื้อขายของกองทุนเท่าที่ผมเข้าใจ จะใช้การบริหารเชิงรับ (Passive Investment Strategy) โดยเป็นการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนต่างประเทศอีกที ฉะนั้นการลงทุนประเภทนี้ก็ถือเป็นกองทุน FIF อย่างหนึ่ง ถ้าถามว่าปัจจัยใดที่มีผลกระทบต่อเงินลงทุนของกองทุนประเภทนี้ คำตอบคือความผันผวนของราคาทองคำ รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ความเสี่ยงด้วยกัน

1) ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงราคาทองคำ (Price Risk)

หมาย ถึง โอกาสที่ราคาทองในตลาดโลกจะเพิ่มสูงขึ้นหรือลดต่ำลงในช่วงระยะเวลาสั้นๆ หรือระยะยาวในบางครั้ง เช่น ในช่วงที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ขายเงินทุนสำรองที่เก็บในทองคำออกมาในตลาด จนทำให้ราคาทองในตลาดโลกลดต่ำลง ทั้งนี้ หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจะส่งผลกระทบต่อกองทุน เนื่องจากมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนมีการเปลี่ยนแปลงตามราคาทองในตลาด โลก ดังนั้นหากราคาทองในตลาดโลกลดลงจะส่งผลทำให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน ลดลงได้อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำมีความเป็นอิสระจากการเปลี่ยนแปลงจากการลงทุนการ ลงทุนในตราสารทุนหรือตราสารหนี้ ทั้งนี้ จากข้อมูลทางสถิติย้อนหลังที่ทำการศึกษาทั้งในและต่างประเทศแสดงให้เห็นว่า ผลตอบแทนของทองคำมีค่าความสัมพันธ์กับผลตอบแทนจากการลงทุนในสภาวะที่คาดว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารทุนหรือตราสารหนี้มีแนวโน้มลดลง

2) ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Risk)

ความ เสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงิน สกุลต่างประเทศอื่น กล่าวคือ หากค่าเงินบาทมีค่าแข็งขึ้นจากวันที่กองทุนเข้าลงทุนเมื่อเทียบกับสกุลเงิน ดอลลาร์ที่เข้าลงทุนนั้น (เช่น จาก 33 บาท ต่อ1ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 31 บาท) จะทำให้กองทุนได้รับดอกเบี้ยตามงวดและ/หรือเงินต้นเมื่อครบกำหนดของตราสาร เป็นเงินบาทในจำนวนที่น้อยลง ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนของการลงทุนต่ำกว่าที่คาดไว้ ในทางกลับกัน หากค่าเงินบาทมีค่าอ่อนลง (เช่น จาก 33 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 35 บาท) จะทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนเมื่อคำนวณเป็นสกุลเงินบาทมากขึ้น

3. การลงทุนแบบ Gold Future

คือ สัญญาซื้อขายราคาทองคำล่วงหน้าในตลาดภายในประเทศไทย เป็นเครื่องมือที่ผู้ลงทุนสามารถใช้ เป็นทางเลือกหนึ่ง สำหรับลงทุนได้ ตามความคาดการณ์ที่มีต่อราคาทองคำได้ทั้งในภาวะราคาทองขาขึ้น และราคาทองขาลง ด้วยคุณลักษณะเด่นที่สามารถ ขายก่อนซื้อได้ หรือซื้อก่อนขายได้ และใช้เงินลงทุนน้อยกว่าการซื้อทองแท่งจริง Gold Futures จึงเป็นทางเลือกที่ น่าสนใจในการทำกำไรและกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนการเล่นตลาด Gold Future ทำการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ บ้านเราก็คือ TFEX นี่เอง TFEX จะเป็นคนกำหนดกฏเกณฑ์การซื้อขาย คอยจัดการดูแลให้ผู้เกี่ยวข้องในตลาด ปฏิบัติตามสัญญา ตลาดนี้มีลักษณะอีกอย่างที่เรียกว่า zero sum games นะครับ มีคนได้มีคนเสียเท่าๆกันเสมอซื้อ Gold Futures ต่างอะไรกับทองคำจริงๆบ้าง ทองคำจริง อยากซื้อเท่าไหร่ก็ซื้อได้ ซื้อแล้วเอามานอนกอดได้ ขาดทุนยิ่งต้องกอดมันไว้นานๆ แต่ซื้อทองคำ Futures จะมีคนมาสะกิดคุณทุกวันว่า วันนี้ กำไรหรือขาดทุน ยิ่งขาดทุน ยิ่งเครียด เพราะจะถูกสะกิดให้เติมเงินเข้าไปในบัญชี หากยังอยากถือไว้Gold Futures มีข้อกำหนดหลักๆ คือมันเป็นสัญญาจะซื้อ/จะขายทองคำ โดย 1 สัญญาจะเท่ากับ 50 บาท โดยการซื้อ ใช้แค่เงิน 10% เสียเงินค่าคอมมิชชั่นขั้นต้น 450 บาท + Vat 7% หรือ 481.50 บาท ตีมั่วๆง่ายๆ ก็ 500 บาทซะ ไปกลับประมาณ 1000 เท่ากับ 1 บาท คุณมีต้นทุนแล้ว 20 บาท ซึ่งยังถูกกว่าส่วนต่างของราคาสมาคม 5 เท่า (สมาคม 100 บาท) แปลว่า คุณมีโอกาสในการใช้เงินที่เคยซื้อทองคำได้แค่ 5 บาท มาซื้อทองคำ Gold Futures ได้ถึง 50 บาท และมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าเดิม 10 เท่า พร้อมๆกับส่วนต่างที่น้อยลงไปอีกบาทละ 80 บาทข้อดีที่ชัดๆของ Gold Futures ที่ผมเห็น คือโอกาสในการขายก่อน หรือเล่นในตลาดช่วงขาลง กรณีไม่มีของอยู่ในมือ ซึ่งทองคำของจริง หรือ KGOLD หรือ TMBGOLD ไม่สามารถทำได้ ได้แต่รออย่างเดีย แต่อย่าเพิ่งนอนใจนะครับ นั่นเป็นด้านดีที่ทำให้คนเข้าสู่ตลาดจนลืมด้านไม่ดี คือมันสามารถพาคุณขาดทุนได้เพิ่มขึ้นอีก 10 เท่าด้วยเหมือนกัน

4. การลงทุนแบบ Gold spot (แนะนำ)

Gold Spot คือ สัญญาซื้อขายราคาทองคำในตลาดโลก ที่สามารถซื้อ-ขายได้ทันที โดยผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินทั้งจำนวน แค่วางเงินส่วนหนึ่งไว้กับโบรกเกอร์ก่อนส่งคำสั่งซื้อขายเพื่อเป็นเงินมัดจำ หรือเรียกว่า เงินหลักประกันขั้นต้น (Initial Margin)โดยที่เราจะเน้นทำกำไร จากส่วนต่างของการซื้อขายราคาทองในตลาดโลก โดยราคาทองจะมีหน่วยเป็นเงินดอลล่าร์ (USD) ต่อน้ำหนัก 1 ออนซ์ (Ounce) โดยที่ราคาทองจะวิ่งขึ้นลงตลอดทั้งวัน 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันจันทร์ ถึง วันศุกร์ โดยมีแรงซื้อขายจากตลาดทั่วโลก ซึ่งสามารถทำการซื้อขายทองคำด้วยพอร์ทลงทุนของผู้เล่นเอง และสามารถทำกำไรได้ทั้งที่ภาวะราคาทองขาขึ้นและราคาทองขาลง ด้วยคุณลักษณะเด่นที่สามารถซื้อก่อนขายหรือขายก่อนซื้อก็ได้ และใช้เงินลงทุนน้อยการเล่น Gold spot สามารถทำการเล่นโดยผ่านโปรเกอร์ (Broker) หรือบริษัทตัวแทนการซื้อขาย ของท่างต่างประเทศ ซึ่งสำหรับนักลงทุนทองคำชาวไทย ก็สามารถสมัครเปิดบัญชีเพื่อเทรด Gold spot กับทางบริษัทตัวแทนได้ บริษัทตัวแทนการซื้อขายที่เราแนะนำในที่นี้คือ

Exness เป็นโบรกเกอร์ Forex(อัตราแลกเปลี่ยน) ที่สามารถลงทุนซื้อ-ขายทองคำโดยอ้างอิงราคาทองคำจากตลาดโลก เล่นได้ 2 ขา ขาขึ้นและขาลงเนื่องจากมีค่า spread(คอมมิชชั่น) ที่ค่อนข้างต่ำ การฝากเงินไม่ยุ่งยาก สามารถใช้ Internet Ibanking มี กรุงเทพ กรุงไทย ไทยพาณิชย์ กรุงศรีและกสิกรไทย หรือฝากผ่าน 7 -11 ได้และการถอนเงินก็สามารถถอนเข้าธนาคารไทยได้ทุกธนาคาร

โดยส่วนตัว แล้วผมคิดว่าถ้าเราจะลงทุนทองคำควรเลือกที่ได้ 2 ขา จะดีกว่า ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในสภาพไหน? ขาขึ้น หรือ ขาลง เราก็ทำกำไรได้อยู่ดี!! รู้แบบนี้แล้ว จะไม่ลองสมัครเปิดบัญชีหรือครับ? หากท่านยังไม่พร้อมเปิดบัญชี ก็ลองเปิดบัญชีทดลองซื้อ-ขายได้มีเงินปลอมให้เล่น 1 แสนดอลล่า รูปแบบการซื้อ-ขายเหมือนบัญชีจริงๆแต่ต่างกันแค่เงินเป็นเงินปลอมเท่าั้นั้น เอง รูบแบบการซื้อ-ขายจะเป็นโปรแกรมเทรด MT4 ดาวโหลดไโปรแกรมได้หลังสมัครเปิดบัญชีจริงหรือบัญชีทดลอง ซื้อ - ขาย ทองคำ คู่เงิน หุ้น สามารถส่งคำสั่งซื้อ - ขาย ได้ 24 ชั่วโมง จันทร์ - ศุกร์

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/()/?/

บทที่ 1 ทำความรู้จักทองคำก่อนการลงทุน

หลายคนอาจจะเคยได้ยินคนเถ้าคนแก่ หรือ อาจจะกระทั่งตัวเองได้เคยซื้อ (ถ้าแก่พอ) ทองคำบาทละ 400 บาท สมัยนั้น (ปี พศ.2516) ทองคำ 1 ออนซ์ ถูกกำหนดตายตัวไว้แค่ 42.22 ดอลล่าร์ อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 20 บาทกว่าๆครับ วันนี้ ราคาระดับหมื่นกว่าบาทแล้ว และอาจจะไปถึง 2หมื่นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เกิดอะไรขึ้นกับทองคำ ใครไม่รู้ประวัติ ก็มาฟังผมเล่าฉบับย่อสุดๆ (เพราะรู้นิดเดียว ฮิฮิ)

สมัย ก่อน ราวปี 1875-1914 ทองคำถูกใช้เป็นมาตรฐานระบบการเงิน ซึ่งกำหนดความแตกต่างด้วยปริมาณทองคำสำรองระหว่างสกุลเงินของ 2 ประเทศ ระบบนี้มีปัญหาในทางปฏิบัติเพราะต้องสำรองทองคำในปริมาณมหาศาลเพื่อรักษาดี มานด์/ซัพพลายทางการเงินให้มีเสถียรภาพ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานใหม่หลังสหรัฐตั้งตัวเป็นเจ้าโลกแทนอังกฤษที่เสื่อม อำนาจลง เรียกว่า ข้อตกลงเบรตัน วูดส์ ใน ค.ศ. 1944 ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศในเวลาต่อมา
หนึ่ง ในสาระสำคัญของเบรตัน วูดส์คือ การตีค่าตายตัวเอาไว้ว่า 35 ดอลลาร์เท่ากับทองคำ 1 ออนซ์ และเงินสกุลทั่วโลกจะผูกค่าเอาไว้นิ่งกับค่าดอลลาร์ อำนาจครอบงำจากดอลลาร์จึงเกิดขึ้น

เงินดอลลาร์กลายเป็นเงินสากลและ ถูกนำไปใช้ทั่วโลก และตกค้างในประเทศต่างๆในจำนวนพอๆกับในสหรัฐฯ เมื่ออเมริกันกระโจนเข้าสู่สงครามเวียดนาม และช่วงสงครามเย็น ภาระที่แบกรับมากเกินของรัฐบาลอเมริกัน ทำให้ดอลลาร์เริ่มมีค่าน้อยลงกว่าทองคำ สหรัฐขาดดุลการค้ามากขึ้นเรื่อยๆ หลายประเทศเริ่มแคลงใจ สงสัยว่าสหรัฐพิมพ์แบงค์ออกมาใช้มากกว่าทองคำที่เป็นทุนสำรองอยู่ จึงนำดอลล่าร์ไปแลกทองคำกลับมา และแน่นอน สหรัฐไม่มีปัญญาหาทองคำมาให้แลกคืนได้พอหรอก เพื่อปกป้องค่าดอลลาร์ไว้ ใน ค.ศ. 1971 ริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีสหรัฐในสมัยนั้น ได้ประกาศตัดความสัมพันธ์คงที่กับทองคำ ยุติการซื้อขายทองคำกับดอลลาร์เอาดื้อๆ เป็นการฉีกข้อตกลงเบรตันวูดส์อย่างสิ้นเยื่อใย และแน่นอน ประเทศอื่นก็ทำอะไรไม่ได้

สหรัฐเป็นผู้ที่มีทองคำเป็นทุนสำรองมากที่ สุดในโลกด้วยเหตุนี้ละมั๊งครับ ทั้งที่ขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่องมายาวนาน นับตั้งแต่ตั้งตัวเองขึ้นเป็นเจ้าโลก ประเทศอื่นเอาทองคำไปแลกกระดาษดอลล่าร์มาเพื่อใช้เป็นทุนสำรองในการซื้อขาย ระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ข้าวสาร สากกะเบือ เรือรบ เพราะระบบการเงินที่เอาตัวเองเป็นแกน พอระบบที่ตัวเองตั้งขึ้น มันไปไม่ได้ เพราะตัวเองใช้เกินตัว ก็ชักดาบเอาดื้อๆ โดยไม่มีใครกล้าหือ

แล้วทำไมเราต้องไปยุ่งกับดอลล่าร์ด้วย?
- เพราะสหรัฐเป็นผู้ที่ถือครองทองคำมากที่สุด มีอิทธิพลในการกำหนดราคาทองคำมากที่สุด
- เพราะทองคำ ถูกกำหนดมูลค่าเป็นดอลล่าร์ ความสัมพันธ์จึงแนบแน่นเกินจะหลีกเลี่ยง
นวัต กรรมทางการเงินใหม่ๆที่สหรัฐประดิษฐ์ขึ้น ล้วนเป็นที่มาของฟองสบู่เศรษฐกิจที่แตกมาหลายครั้ง และสะเทือนไปทั่วโลก รวมถึงนวัตกรรมล่าสุด ซึ่งเป็นที่มาของวิกฤติซัพไพร์มที่กำลังลามทั่วโลกขณะนี้ ทั้งหมด ยังคงเกิดจากพฤติกรรมกร่าง ใช้จ่ายเกินตัวเหมือนเช่นอดีตที่ผ่านมาครับ และคงไม่ต้องเดาเลยว่า มูลค่าทองคำจะสูงขึ้นไปได้อีกขนาดไหน เมื่อเทียบกับดอลล่าร์ 
 
 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/1-491/?/

บทที่ 2 ปัจจัยพื้นฐานของทองคำ

แปลกใจกันบ้างหรือไม่ว่า ทำไมนักวิเคราะห์จึงเชื่ออย่างหัวปักหัวปำว่า ทองคำจะขึ้นไปถึง 2000 เหรียญ หรือกว่านั้น ถ้าได้อ่านบทที่ 1 ถึงความสัมพันธ์ระหว่างทองคำกับดอลล่าร์แล้ว คงพอจะเข้าใจกันบ้างแล้วว่า ทองคำคงไม่ลดมูลค่าง่ายๆ ตราบเท่าที่สหรัฐยังคงพิมพ์แบงค์ออกมาใช้เองไม่หยุด

เมื่อปี 2006 World Gold Council ได้มีงานวิจัยชิ้นหนึ่ง เกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับราคาทองคำ ได้พบว่า
- ระยะยาว ราคาทองคำมีสัดส่วนความสัมพันธ์แบบ 1:1 กับเงินเฟ้อของสหรัฐ
- ราคาทองคำ ไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับเงินเฟ้อในส่วนอื่นๆของโลก
- ความเบี่ยงเบนจากปัจจัยอื่น เช่น การเมือง ความเสี่ยงทางการเงิน ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน อาจจะกินเวลาสั้นๆหรือเป็นปี แต่สุดท้าย ก็จะกลับมาอยู่ที่ความสัมพันธ์หลัก คือเงินเฟ้อสหรัฐเท่านั้น
หมายความ ว่า หากเงินเฟ้อสหรัฐขยับ 1% ราคาทองคำจะขยับ 1% ด้วยนั้นแหละครับ และนั่นคือที่มา ที่นักวิเคราะห์ทั้งหลาย ทำนายว่า ทองคำมันจะไป 2000 เหรียญ หรือกว่านั้น เพราะเทียบจากอดีตเมื่อครั้งลอยแพมูลค่าทองคำจนถึงปัจจุบัน ทองคำมันควรจะพุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว


แล้ว จริงหรือเปล่า? ทำไมสิ่งที่เห็นอยู่ ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเงินเฟ้อเท่าไหร่เลย เห็นทองคำวิ่งตามดอลล่าร์บ้าง น้ำมันบ้าง จนเวียนหัวไปหมด งานวิจัยมันบอกชัดครับ ว่าความเบี่ยงเบนไม่เกี่ยว สุดท้ายเมื่อปัจจัยที่ทำให้ราคาเบี่ยงเบนนั้นจบลง มันก็จะกลับเข้ามาหาความเป็นจริง เพียงแต่ว่า ในมุมมองการลงทุนของเรา กลับต้องมาศึกษาไอ้ปัจจัยเบี่ยงเบนพวกนี้ เพราะคือตัวแปรสำคัญ ตราบเท่าที่ราคาทองคำ มันยังไม่เข้าหาความจริง ที่ 2000 เหรียญกว่าๆโน่น และการที่อเมริกาในช่วงนี้ เร่งพิมพ์แบงค์อย่างไม่เกรงอกเกรงใจประชาคมโลก ทำให้มีการคำนวณและป่าวประกาศราคาทองคำ 5000 เหรียญแทนซะแล้ว

ปัจจัยเบี่ยงเบนราคาทองคำที่เราต้องรู้
ใครๆ ก็พูดว่า ราคาทองคำมาจากปัจจัยคือดีมานด์การใช้งานจริง กับดีมานด์การลงทุน แต่นั่นมันปัจจัยพื้นฐานจริงๆ ที่ไม่มีมือมืดมาเกี่ยวข้องครับ คุณแปลกใจมั๊ยล่ะ ว่าทำไมราคาทองคำมันยังอยู่ห่างจากความเป็นจริงมากขนาดนั้น ใครพอจำได้ ทองคำ เคยโดนกดราคาลงถึงแค่ 256 เหรียญในปี 1999

The Central Bank Gold Agreement – CBGA
นั่น เป็นเพราะมีภาพมายาที่ถูกสร้างขึ้น เพราะทองคำถือเป็นศัตรูตัวฉกาจกับระบบการเงิน นวัตกรรมใหม่ของสหรัฐ ความร่วมมือกันของเหล่าธนาคารกลางที่รวมหัว ประชุมกันที่กรุงวอชิงตันจึงเกิดขึ้น หัวเรือใหญ่ไม่ใช่ใครที่ไหน คือสหรัฐกับอังกฤษนั่นแหละ ข้อตกลงร่วมกันที่ออกมารู้จักกันในชื่อ the Central Bank Gold Agreement – CBGA นั่นเอง
ในปี 1999 นับเป็นจุดเริ่มต้นของข้อตกลงที่ว่า โดยธนาคารต่างๆมีโควตาในการขายทองคำไม่เกิน 400 ตัน ระหว่างปี 1999-2004 และข้อตกลงฉบับที่ 2 กำหนดไว้ที่ 500 ตันต่อปี ระหว่างปี 2004-2009

ราคา ทองคำลดลงต่ำสุดในช่วงปี 1999 จากการที่อังกฤษ โดยนายกรัฐมนตรี กอร์ดอน บราวน์ ตัดสินใจขายทองคำออกมามากกว่าครึ่งหนึ่งของทองคำสำรองที่มีในคลัง นัยว่า เลิกใช้ทองคำเป็นทุนสำรอง ยกเลิกบทบาททองคำในฐานะทุนสำรอง ว่างั้น ทำให้ราคาทองคำรูดลงอย่างรวดเร็วจาก 300 กว่าเหรียญ เหลือ 250 กว่าเหรียญ
หลาย ปีต่อมา จากการกระทำอย่างต่อเนื่อง ตามข้อตกลง CGBA ทำให้ราคาทองคำซึมอยู่หลายปี แต่ความพยายามดังกล่าว มันเป็นการฝืนความจริง ในที่สุด ทองคำก็กลับมาทวงสิทธิ์ของตัวเองคืน

The Manipulation Of The Gold Market

เหล่า ธนาคารกลางนำโดยสหรัฐ มีการจัดตั้งองค์กรที่ไม่ค่อยลับเท่าไหร่ เข้ามาดูแลราคาทองคำ ผ่านการซื้อขายทำธุรกรรมในตลาดทองคำ เหมือนอย่างพวกกองทุนเฮดฟันด์ทั้งหลายทำนั่นแหละ แต่วัตถุประสงค์ต่างจากเฮดฟันด์ คือไม่ได้เข้ามาหากำไร แต่เข้ามาควบคุมราคา ไม่ให้พุ่งเข้าหาราคาจริงตามเงินเฟ้อเร็วเกินไป ซึ่งเรียกว่า The Manipulation Of The Gold Market พวกนี้แหละที่เราต้องแหยงในการลงทุนทองคำ เพราะจะเข้ามาทำลายอารมณ์กระทิงในตลาดทองคำเป็นระยะ ตามแต่อารมณ์มัน 555
The Gold Anti-Trust Action Committee – GATA
ทาง ฝั่งผู้บริโภค ก็มีการตั้งองค์กรขึ้นมาในปี 1999 เช่นเดียวกันครับ เรียกว่า The Gold Anti-Trust Action Committee – GATA เพื่อสนับสนุนและรับหน้าที่ต่อต้านการกระทำที่ไม่ถูกต้องเพื่อการครอบงำตลาด ทองคำ ไม่ให้กำหนดราคาและทิศทางตลาดตามอำเภอใจ

ดีมานด์การใช้งานจริง
ใน แง่การลงทุนของพวกเรา จะหันกลับมาดูปัจจัยนี้ เมื่อราคามันหล่นลงมาหลังการปั่นขึ้นไปสูงๆแล้ว หรือเรียกว่า การปรับฐานใหญ่นั่นแหละ ปกติ ทุกปีจะมี 1 รอบ เรียกว่าเป็นวัฏจักรของราคาทองคำครับ โดยมีช่วงเวลาขาลงอยู่ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายนโดยประมาณ ซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อนของฝรั่ง รวมถึงดีมานด์จากขาใหญ่อย่างอินเดีย ซึ่งเป็นชาติที่คลั่งใคล้ทองคำมากที่สุด ลดลงในช่วงนี้ ขณะที่ช่วงเดือนที่ราคาทองคำเป็นขาขึ้น จะเป็นช่วงราวเดือนตุลาคมไปจนถึงราวปลายเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นช่วงที่ทั่วโลก ต่างก็ซื้อทองเพื่อใช้งานจริงทั้งนั้น
ช่วงการปรับฐานใหญ่ที่ว่านั้น ราคาจะหล่นลงมาจนกว่าผู้ซื้อทองคำเพื่อการใช้งานจริงๆจะพอใจและมีแรงซื้อ กลับเข้ามามาก พวกนักลงทุนจึงจะมั่นใจ และไล่ราคาขึ้นไปเล่นกันที่สูงๆต่อ เท่ากับว่า ดีมานด์การใช้งานจริงนี้ คือตัวกำหนดราคาฐานที่แข็งแกร่งนั่นเอง
5 ปีที่ผ่านมา ราคาก็ขยับสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เพราะความไม่สมดุลระหว่างซัพพลายและดีมานด์ครับ
- ผลผลิตจากเหมืองที่ลดลงเรื่อยๆ แหล่งผลิตเก่ากำลังการผลิตตก ขณะที่แหล่งผลิตใหม่ๆเกิดขึ้นน้อย
- ความต้องการทองคำจากประเทศจีน และอินเดียว ที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้นจนซัพพลายไม่เพียงพอ 2 ประเทศนี้ ประชากรรวมกันหลายพันล้านคน หากคิดเหมือนกันว่าอยากได้อะไร คงไม่ต้องบอกนะครับ ว่าของที่ต้องการนั้น จะขาดแคลนไปในทันที
ความต้องการใช้งานจริง ไม่ใช่เป็นตัวแปรที่ทำให้ราคาผันผวน เพราะสามารถกะเกณฑ์ได้ครับ ไอ้ที่ทำให้ผันผวนคือปัจจัยต่อไป

ดีมานด์ความต้องการลงทุน
ใน ฐานะที่ทองคำ มีบทบาทเป็นเงินอีกสกุลที่มีเสถียรภาพมาก ความต้องการใช้งานจริง จะมีผลต่อราคาทองคำเป็นวัฏจักรครับ แต่ตัวขับเคลื่อนหลักในเวลานี้ ต้องบอกว่า คือ ความต้องการในการลงทุนมากกว่า ยิ่งราคาทองคำสูง ความต้องการใช้งานจริงมีแต่จะลดลง ขณะที่ความต้องการสำหรับเพื่อการลงทุนกลับเพิ่มขึ่นเรื่อยๆ กลุ่มที่เข้ามาเกี่ยวข้อง แบ่งได้ 3 กลุ่ม
NON COMMERICAL เป็นกลุ่มสถาบันการเงิน หรือ พวกนักเก็งกำไร หรือกองทุนขนาดใหญ่ พวกนี้เข้ามาตลาดเมื่อไหร่ จะเป็นตัวกำหนดราคาและสร้างความผันผวนในตลาดได้มากครับ เมื่อพวกนี้เข้ามาเมื่อไหร่ ปลาซิวปลาสร้อยอย่างพวกเรา ต้องรีบโดดเข้า และเตรียมโดดออกตามให้ทัน
COMMERCIAL เป็นกลุ่มผู้ผลิต ที่เข้ามาขายกันความเสี่ยงในตลาดล่วงหน้า ซึ่งจะเป็นผู้ขายออก หรืออยู่ตรงข้ามกับนักเก็งกำไรนั่นแหละ พวกนี้ เมื่อไหร่ที่เริ่มซื้อสัญญากลับหรือไม่ค่อยขายเข้ามา ก็เป็นสัญญาณว่า ราคากำลังจะขึ้นแล้ว
NON REPORTABLE พวกนี้คือปลาซิวปลาสร้อยอย่างพวกเรานี่แหละครับ

ปัจจัยความต้องการเพื่อการลงทุนนี้ จะอ่อนไหวกับทิศทางตลาดโดยรวมค่อนข้างมาก โดยในปัจจุบัน ทิศทางของ
ปัจจัย นี้ ถูกกำหนดโดยนโยบายของเฟด หรือ ธนาคารกลางสหรัฐ เป็นส่วนสำคัญมากที่สุด ทั้งในเทอมดอกเบี้ยและนโยบายที่มีต่อเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทุกวัน มาตรการผ่อนคลายทางการเงินของสหรัฐ หรือพูดอีกทางคือ พฤติกรรมใช้จ่ายเกินตัวที่ไม่ละ กำลังค่อยๆโผล่ออกมา เหมือนบ้านที่ไม่เคยกวาดสิ่งสกปรกออกจากบ้าน เอาแต่กวาดซุกใต้พรมแล้วนั่งทับไว้ จนตอนนี้ พรมคงปูดเป็นภูเขาลูกใหญ่แล้วมั๊ง คนนั่งทับ ก็กำลังนั่งง่อนแง่นอยู่บนยอด ทำเป็นไม่สนใจสิ่งหมักหมนที่อยู่ใต้พรม

ความรุนแรงทางการเมืองโลก จากการที่สหรัฐวางตัวเป็นเจ้าโลกและคุกคามประเทศอื่นๆที่ไม่ยอมตนเอง เพื่อเข้าไปยึดครอบครองทรัพยากรของประเทศอื่น ระเบิดเวลาที่ทิ้งไว้หลายจุดทั่วโลก ทั้งอิสราเอล อัฟกานิสถาน อิรัก อิหร่าน และอีกหลายประเทศ อีกไม่นานคงได้ประทุรุนแรง

นวัตกรรมทางการ เงิน ตามแนวทางสหรัฐ เวลานี้กำลังย้อนกลับมาเล่นงานผู้คิดค้น ทั้งกรณีฉีกข้อตกลงเบรตัน วูดส์ พิมพ์แบงค์ใช้ไม่อั้น อนุพันธ์ทางการเงินเพื่อสร้างเม็ดเงินอย่างไร้ขีดจำกัดเช่นกรณีซัพไพร์ม การเปิดเสรีทางการเงินรวมทั้งบีบทั้งปลอบให้ประเทศอื่นเชื่อทำตาม การสร้างระบบเก็งกำไร เหล่านี้ล้วนช่วยสร้างเศรษฐกิจสหรัฐให้ขึ้นมาอยู่ชั้นแนวหน้าพร้อมๆกับการ เผชิญความเสี่ยงมหันต์ที่ตามเป็นเงามานาน และกำลังเริ่มแผลงฤทธิ์อีกครั้ง ราคาน้ำมันถีบตัวขึ้นสูง รวมถึงโภคภัณฑ์ต่างๆและทองคำ คือตัวแทนเงามืดที่ตามสหรัฐมานานนั่นเอง

ปูพื้นฐานปัจจัยพื้นฐานกัน แล้ว งวดต่อไปคงเริ่มเข้าเรื่องสิ่งที่พวกเรารอ คือปัจจัยเทคนิคเสียที ใครอ่านความเห็นผมมาตลอด อาจเคยเห็นผมเขียนไว้เสมอว่า
 
 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/2-490/?/

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 4 Elliott wave คลื่นที่คุณต้องรู้จัก

หากคุณไม่สนใจทำความรู้จักมัน คงเหมือนกับคุณนั่งริมทะเลชมคลื่นไปเรื่อยๆ แต่หากคุณรู้ว่า เมื่อไหร่ที่อยู่ดีๆ ชายทะเลกลับหดถอยลงไปอย่างรวดเร็ว แปลว่า กำลังจะเกิดสึนามิ คุณต้องรีบวิ่งหนีจากชายฝั่ง เอาตัวรอดให้เร็วที่สุด แบบนี้ เท่ากับคุณรู้จักธรรมชาติของคลื่น นับเป็นเรื่องดีใช่ไหมครับ อยากรู้จักมันหรือยัง?
คิดว่า น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ถูกนะครับ น่าจะเป็นสิ่งที่ควรรู้เป็นอันดับแรก แต่บางคน แค่เห็นก็เมาคลื่นซะแล้ว อย่าเพิ่งครับ นั่นเป็นเพราะคุณหาจุดเริ่มต้นมันไม่ถูก เมื่อคุณเริ่มไม่ถูก อาการเมาคลื่น ก็จะตามมา ผมแนะนำคร่าวๆว่า
Elliott Wave ประกอบด้วยลูกคลื่นในขาขึ้น 5 ลูก ( 1-2-3-4-5) และลูกคลื่นในขาลง 3 ลูก (a-b-c) ในช่วงขาขึ้นเราเรียกว่า Impulse ส่วนขาลงเราเรียกว่า Correction โดยหากเป็นช่วงตลาดหมี ขาลงก็จะกลับกัน คือลง 5 ลูก ขึ้น 3 ลูกแทน และในคลื่นนึง ก็จะประกอบด้วยคลื่นเล็กๆ เสมอ อย่างเช่น คลื่นขา 1 เป็นขาขึ้น จะคลื่นในตัวเป็นคลื่นย่อย 5 คลื่น ขณะที่คลื่น 2 จะเป็นคลื่นขาลง จะมีคลื่นย่อยในตัวเป็น 3 คลื่น

ไม่ลงรายละเอียดมาก นัก เพราะหนังสือที่ไหนก็มีให้อ่าน แต่จะบอกว่า สิ่งที่งงกันคือบางครั้ง มีการต่อคลื่น หรือเกิดคลื่นไม่ปกติขึ้นมา ทำให้นับกันไม่ถูก และอีกกรณีคือ ตราบเท่าที่คลื่นมันยังไม่จบ คุณไม่มีทางรู้ได้ว่า คุณนับถูกหรือไม่

อ้าว ไหงเป็นงั้น แล้วจะมีประโยชน์อะไร?
มี สิครับ อย่างน้อยที่สุด คุณจะตัดเส้นทางที่เป็นไปไม่ได้ออกไป เหลือทางที่มีโอกาสจะเป็นไปได้ และทางที่มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด แค่นี้ ก็ดีกว่าไม่รู้แล้ว ใช่ไหม
นักลงทุนที่ไม่ต้องการเสี่ยง จะเลือกลงทุนเมื่อกราฟอยู่ที่คลื่น 3 เพราะกว่าจะมาถึงคลื่น 3 ราคามันจะยืนยันขา 1 หรือขา 2 มาก่อนแล้ว และนี่คือสาเหตุครับ ว่าทำไม คลื่น 3 ถึงได้พุ่งได้แรงสุด เพราะมันชัดที่สุดนั่นเอง

รู้จักทฤษฎีหลักๆที่กำหนดว่า คลื่นไหนเป็นคลื่นไหน

Fibonacci number
ขี้ เกียจพูดถึงที่มา เดี๋ยวยาว เอาเป็นว่าเป็นตัวเลขที่ช่วยในการวัดหรือกะระยะของคลื่นลูกต่อไปได้ ตัวเลขที่น่าสนใจ ได้แก่ 23.6% 38.2% 50% 61.8% 78.6% 100% 127.2% 161.8% 261.8% 423.6% โดยตัวเลขที่พบบ่อยๆว่ามีพลังหน่อย คือตัวเลขที่ผม ใช้สีแดงกำกับ

RSI คู่หูนับคลื่นแบบพลาดยาก
RSI เป็นสัญญาณยอดฮิต ที่แนะนำให้ศึกษาเลยครับ มันบอกถึงพละกำลังกระทิงหรือหมีได้เป็นอย่างดี สิ่งที่จะบอก ผมเอง ไม่เคยเจอในหนังสือเล่มไหนครับ ทฤษฎีนี้ ตั้งแต่รู้มา ทำให้ผมนับคลื่นได้มั่นใจขึ้นมาก ต้องขอบคุณ คุณลุงโฉลก แห่ง chaloke.com ผู้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาสุดยอดแบบไม่มีหวงกัน ทฤษฎีไม่มีอะไรมาก หากมีความสับสน ให้ดูยอดคลื่นที่สูงที่สุดของ RSI เทียบกับยอดคลื่นราคาครับ ยอดคลื่น RSI ที่สูง จะตรงกับคลื่น 3 และคลื่น b เสมอ แค่นี้ ใครที่เคยนับคลื่นไม่ถูก ก็ลองใช้ช่วยนับใหม่ดูครับ ง่ายขึ้นเยอะ

ทฤษฎีอีเลียตเวฟมีหยุมหยิมค่อนข้างเยอะ ผมเอาหลักๆมาแนะนำเพื่อเป็น guide ก็พอนะครับ

คลื่นที่ 1 แค่เริ่มต้นก็ไม่ง่ายแล้ว
ไม่ มีใครกะได้ว่า จะจบตรงไหน เพราะเพิ่งเริ่มคลื่นใหม่ สิ่งที่เราทำได้ คือรอให้มันจบคลื่น 1 ก่อนครับ แต่อย่างน้อยที่สุด คลื่นย่อยในคลื่น 1 ควรจะประกอบด้วย 5 คลื่น ไม่ใช่ 3 คลื่น หากนับได้ 3 คลื่นเมื่อไหร่ ตีความได้ว่า
- การ correction ของคลื่นรอบที่ผ่านมา ยังไม่จบจริง คืออาจมีการ correction ต่อเป็น a-b-c-x-a-b-c หรือ a-b-c-d-e เป็นต้น
- คลื่นนั้นยังไม่จบ คือยังเหลือการขึ้นขา 5 อีกขา ก่อนลง correction ขา 2 อีกที
หาก คุณอ่านทฤษฎีในหนังสือ คงไม่ได้บอกคุณว่า ไอ้คลื่น 1 นี่อ่ะ มันก็ไม่ได้ระบุง่ายๆ เพราะมันเพิ่งต่อมาจากคลื่นปรับฐาน ทำให้ไม่รู้ว่า นี่มันคลื่น 1 หรือคลื่นปรับฐานต่อเนื่องกันแน่ เป็นเหตุให้ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าเล่นในคลื่น 1 นั่นเอง

คลื่น 2 จบเมื่อไหร่ ค่อยบอกคุณว่า ไอ้คลื่นลูกเมื่อกี๊น่ะ คลื่น 1 นะจ๊ะ
ถึง บอกว่า ไม่ค่อยมีใครเล่นคลื่น 1 เพราะมันมีโอกาสเป็นคลื่น correction ที่จะพาคุณชมดอยเต่าได้แบบไม่ต้องตีตั๋ว ตามทฤษฎีดูเหมือนง่าย มันบอกว่า คลื่น 2 จะไม่ต่ำกว่าคลื่น 1 หากคุณมั่นใจเข้าซื้อ เพราะคิดว่า นั่นคือคลื่น 2 ไม่มีทางหล่นต่ำกว่าคลื่น 1 หรอก ขอให้คิดใหม่ครับ เพราะเมื่อไหร่ที่ราคามันหลุดลงต่ำกว่าฐานคลื่น 1 มันก็เปลี่ยนสถานะตัวเองจากว่าที่คลื่น 2 เป็นคลื่น c ขาลงต่อเลย แสบมั๊ย
ปกติ เมื่อจบคลื่น 2 เราก็จะใช้ก้นคลื่น 2 ในการกะเป้าหมายคลื่น 3 ได้ต่อครับ ตามหลัก คลื่น 2 ของทองคำ มักจบแถว 61.8% หรือ 78.6% โดยหากเด้งขึ้นจากเส้นแถวนี้ได้แรงๆ ผ่านยอดคลื่น 1 มาได้ เราก็คาดได้ว่า นั่นน่าจะเป็นขา 2 และกำลังขึ้นคลื่น 3 ที่เราตั้งตารอกัน

คลื่น 3 คลื่นสุด hot

ใครๆ ก็รอขา 3 เพราะขา 3 มักจะยาวและทำกำไรได้มาก และความเสี่ยงต่ำที่สุด แต่กว่าจะรู้ว่าเป็นขา 3 บางทีมันก็เดินทางมาครึ่งทางแล้วครับ เพราะอะไร ก็ลองย้อนไปดูคลื่น 2 สิ
ตัวคลื่น 3 เอง ก็ประกอบด้วยคลื่นย่อยในตัว 5 คลื่น กว่าเราจะเห็นชัดๆว่า นี่คือคลื่น 3 ก็ต่อเมื่อเราจบคลื่น 2 ของ 3 และกำลังเข้าคลื่นย่อยขา 3 ของคลื่นหลักขา 3 แล้ว ถึงตรงนี้ ปกติผมจะไม่ลังเลในการบอกให้ซื้อครับ เพราะมันยังไปได้อีกอย่างน้อยก็ 60% ของขาล่างสุด เช่นขึ้นมาแล้ว 50 เหรียญ ก็เป็นไปได้ว่า มีโอกาสขึ้นอีกอย่างน้อย 30 เหรียญ ดีกว่าไม่ได้ ใช่ไหมครับ
ทฤษฎีมีว่า ขา 3 มีโอกาสขึ้นมาได้อย่างน้อย 161.8% เมื่อวัดจากยอดขา 1 ถึง ขา 2 และหากแรงๆ ก็จะไป 261.8% หรือกระทั่ง 423.6% ก็ได้ แถมตามด้วยคลื่น 5 ที่สามารถลุ้นเสี่ยงทำกำไรเพิ่มได้

คลื่น 4 คลื่นคืนกำไร
คลื่น 4 ลุงโฉลกให้นิยามว่า เป็นคลื่นคืนกำไร และไม่ค่อยแนะนำให้เล่น เพราะคาดการณ์ยากครับ ตามทฤษฎีบอกว่า ขา 4 จะลงไม่ถึงขา 1 แต่บางครั้งโดยเฉพาะในราคาทองคำตอนปลายๆทาง มันก็แล๊บลงมาต่ำกว่าขา 1 นิดหน่อยเหมือนกัน เรียกว่า เกิดความไม่ปกติขึ้น และจะเกิดเมื่อคลื่น 3 ไม่มีแรงขึ้น คือผิดปกติด้วย ว่างั้น และหากหลุดรูดลงมาเลย มันก็จะเปลี่ยนสถานะตัวเอง จากคลื่น 4 เป็นคลื่น a ครับ แล้วก็ต้องนับขากันใหม่ เพราะราคาไปไม่ถึงดวงดาวเสียแล้ว
มีความสัมพันธ์ ระหว่างขา 2 กับขา 4 ที่มีความเป็นไปได้อยู่อย่างนึงครับ คือหาก ขา 2 มีความซับซ้อน คือไม่ลง a-b-c แล้วจบเลย แต่อาจเล่น sideway ยาวออกมา ในขา 4 มักจะไม่เกิดความซับซ้อนเหมือนขา 2 ครับ และในทางกลับกันก็เช่นกัน เราใช้ความสัมพันธ์นี้ มาช่วยเดาคลื่นครับ ว่าขา 4 น่ะ จะจบขึ้นขา 5 เลยมั๊ย หรืออาจมีต่อ ประมาณนั้น

คลื่น 5 คลื่นสำหรับคนกล้า

เพราะ เป็นคลื่นที่ไม่มีความแน่นอน พร้อมที่จะล้มเหลวเมื่อไหร่ก็ได้ จึงเป็นคลื่นที่ไม่มีแรง คลื่นสำหรับคนตกขบวนคลื่น 3 ทดลองเข้ามาเสี่ยงทำกำไรอีกเล็กน้อย ก่อนการปรับฐาน
แต่มีข้อยกเว้นครับ ตามทฤษฎี ขา 3 ต้องไม่ใช่คลื่นที่สั้นที่สุด และควรจะยาวครับ หากไม่ยาว คือมีขนาดพอๆกับขา 1 คลื่น 5 มักจะเป็น extended wave 5 หรือมีการต่อคลื่น คือขึ้นคลื่นชุดย่อย(แต่ ใหญ่) ขยายความยาวคลื่น 5 ออกไปอีก

คลื่น a คลื่นปรับฐาน - สึนามิลูกแรก
เป็น คลื่นแรกของการปรับฐาน ที่อาจรุนแรงรวดเดียว หรือเพียงเบาะๆให้ตั้งตัวกันทันก็ได้ คลื่น a กับ คลื่น c เป็นคลื่นขาลงเหมือนกัน แต่ปกติหากมีคลื่นอันใดอันหนึ่งที่ยาว อีกอันก็จะสั้นๆครับ ในทองคำ การปรับฐานใหญ่ มักรุนแรงที่ขา a เรียกว่า เป็นสึนามิได้เลย ขณะที่ขา c อาจ sideway หรือสั้นๆมากกว่า

คลื่น b คลื่นถอนตัว VS คลื่นมวยประกอบรายการ

จบ คลื่น a ราคามักจะดีดกลับขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะบางคนก็เชื่อว่า การปรับฐานจบแล้ว บางคนก็เชื่อว่า ไอ้ที่ผ่านมา คงเป็นแค่คลื่น 3 ขอเล่นคลื่น 5 ต่อ และอีกพวก คือพวกชอบเล่นกับไฟ รู้ว่าเป็นคลื่น b แต่ก็เล่น เพราะจริงๆ ก็ยังสามารถทำกำไรได้
คุณสมบัติของคลื่น b ต้องดูสัญญาณประกอบครับ โดยเฉพาะ stoch กับ RSI มักขึ้นมาเร็วมาก ราคาอาจสูงกว่าหรือต่ำกว่าคลื่น 5 ก็ได้ ขอให้ดูสัญญาณเป็นสำคัญครับ และรีบถอนตัวเมื่อยอดสัญญาณเลยยอดสัญญาณของคลื่น 5

คลื่น c คลื่นปรับฐาน สึนามิลูกสุดท้าย
การ correction หรือการปรับฐาน จะจบด้วยขา c โดยขา c มักจบที่ 78.6% เมื่อวัดจากยอดคลื่น 5 ถึงฐานของคลื่น 1 หากลึกกว่านั้น แปลว่าตลาดอาจกลับสภาวะจากกระทิงเป็นหมีไปแล้วก็ได้ โดยด่านสุดท้าย ก็คือฐานคลื่น 1 นั่นแหละ

และวัฏจักรคลื่น ก็จะวนขึ้นขา 1 ใหม่อีกครั้ง เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ครับ

ครบ 5 คลื่นแล้ว หวังว่า คงยังไม่หมดแรงซะก่อนนะครับ บทต่อไปมาว่ากันต่อเรื่องวิธีดูเครื่องมือ หรือสัญญาณต่างๆ ที่ต้องใช้

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่   http://www.thaibestforex.com/forex/4-elliott-wave/?/

บทที่ 5 Fibonacci number ช่วยให้คุณรู้จักคลื่น Elliott wave ดีขึ้น

ผมพยายามลำดับความสำคัญว่า อะไรที่ควรจะเรียนรู้ก่อนในกลุ่มเครื่องมือจำนวนมากที่สามารถพาพวกเราเวียน หัวกันได้ ผมว่าน่าจะเอาสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุด ที่เข้าใจตรงกันมากที่สุด ก็คือ Fibonacci number นี่แหละ มาให้เราทำความเข้าใจกันก่อน ผมว่าเหมือนกับการป้อนข้อมูลใส่ให้พวกเราเข้าใจว่า สาวๆ หน้ากลมๆ สัดส่วน 30-24-36 ถึงจะสวยนะ ถ้าไม่ใช่ ก็สัก 32-26-36 ก็ยังดี (หุหุ เกี่ยวป่าว?)

fibonacci เป็นชื่อเรียกเลขอนุกรมมหัศจรรย์ ที่ตั้งขึ้นตามผู้คิดค้นคือ LEONARDS FIBONACCI ซึ่งสังเกตเห็นว่า ธรรมชาติมีสัดส่วนสัมพันธ์กับตัวเลขนี้ ต่อมาได้มีการประยุกต์นำมาใช้ในการวิเคราะห์ราคาหุ้น เพื่อที่จะใช้ค้นหาแนวโน้ม แนวต้าน แนวรับ สัญญาณซื้อและขาย โดยมีรูปแบบอยู่ 3 ลักษณะ คือ
- Fibonacci retracement หาแนวรับแนวต้านราคาในแนวระนาบ
- Fibonacci fan หาแนวรับในแนวเฉียง
- Fibonacci fan หาแนวรับในแนวดิ่ง หรือระยะเวลา
ส่วน ใหญ่ที่เห็นใช้กัน ก็เป็นอันแรกครับ ส่วนที่มาของตัวเลข ไม่ขอพูดมากครับ ตำราเยอะแยะ เอาเป็นว่า ผมแนะนำสิ่งที่นำไปใช้งานเลยละกัน ตัวเลขสัดส่วนที่นำมาใช้ ถูกคำนวณมาเป็น % หรือเทียบกับ 1.0 เป็นเลขดังนี้
23.6% 38.2% 50% 61.8% 78.6% 100% 127.2% 161.8% 261.8% 423.6%
โดยตัวเลขสีแดง คือตัวเลขที่ผมให้ความสำคัญเป็นพิเศษครับ
การ ใช้ Fibonacci สามารถใช้วัดได้ทั้งคลื่นย่อย และคลื่นหลักตามสะดวก และโดยมากเราวัดในคลื่นย่อย มักจะตรงกับคลื่นหลักอย่างน่าแปลกใจในบางครั้ง ซึ่งหากตรงกัน ผมมักให้ความสำคัญเพิ่มตรงจุดนั้นด้วย

การใช้ Fibonacci ใช้ตอนไหน และตรงไหนดี?
คง เป็นคำถามสำหรับมือใหม่ ที่บางคนลากแบบไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี ต้องย้อนกลับไปอ่านอีกทีข้างบน ที่บอกว่า ใช้หาแนวต้าน แนวรับ แนวต้าน ไงครับ แนวรับจะเกิด เราต้องหาหัวหาท้ายคลื่นให้ได้ก่อน ใช่มั๊ย? เราสนใจคลื่นชุดใหญ่หรือชุดย่อยล่ะ ถ้ายังไม่รู้ ต้องเริ่มจากคลื่นใหญ่ก่อนครับ

- แนะนำให้เริ่มจาก กราฟรายวัน เพราะจะเห็นคลื่นหลักชัดๆ

เมื่อ คลื่นเริ่มต้นขึ้น จนเริ่มตก เราก็จะได้จุดเริ่มต้นและปลายทางของคลื่นเป้าหมายครับ สิ่งที่เราจะวัดหา คือแนวรับเป็นอันดับแรก โดยมีจุดที่ผมให้ข้อคิดไว้ ตามประสบการณ์อันน้อยนิดของผมคือ

- หากคลื่นที่วัด ความแรงไม่มาก เช่นคลื่น 1 แนวรับจะอยู่ที่แถว 50% 61.8% และ 78.6% รวมถึง 100%
- หากหลุดต่ำกว่า 100% ก็จะเป็นการ correction หรือปรับฐานเลย (คลื่น a-b-c) เป้าหมายแรกอยู่ที่ 127.2% และ 161.8% หรือกว่านั้น
- หากเป็นคลื่น 3 บางที ลงไม่ถึง 50% ด้วยซ้ำ

หาก แนวรับ รับได้อยู่แถว 61.8% และดีดกลับได้อย่างแข็งแกร่ง สิ่งที่เราจะมองหาคือแนวต้านแทน เราก็สามารถคาดได้ครับว่า คลื่นอาจจะย้อนสูงขึ้นกว่ายอดเดิม ไปที่ 127.2% 161.8% หรือ 261.8% หรือมากกว่านั้นได้ เราสามารถเอาความเข้าใจเรื่องอีเลียตเวฟมาประยุกต์คาดการณ์ร่วมกับการคะเน แนวต้านได้ครับ เช่น
- หากเป็นคลื่น 3 อาจแรงไปถึง 261.8 หรือ 423.6% ได้
- ขณะที่คลื่น 5 อาจไม่ผ่าน 100% หรือแค่ 127.2% ก็เป็นได้ หากสัญญาณไม่แรงพอ


สั้นๆ ได้ใจความ ไม่เยิ้นเย้อนะครับ ที่เหลือ ลองไปหัดวัดดูคลื่นเก่าๆที่เคยผ่านไปแล้วดู ผมสรุปสั้นๆว่า
- มองภาพคลื่นใหญ่ หาจุดเริ่มต้นให้เจอ
- พิจารณาธรรมชาติของคลื่นลูกนั้น ว่าเป็นคลื่นไหน 1-2-3-4-5 หรือ a-b-c เพื่อคะเนว่า ตัวเลขแนวต้าน-แนวรับตรงไหน น่าจะสำคัญ สำหรับคลื่นลูกนั้น
- คลื่นใหญ่มองภาพไม่เห็นว่าจะจบแถวไหน ก็วัดคลื่นย่อยช่วย เช่น วัดคลื่น 3 หลักที่เห็นได้ชัดในรายวัน ในรายชั่วโมง เราก็มาวัดคลื่นย่อยของ 3 หลัก หากอยู่ในคลื่นย่อย 5 แล้ว เราก็คาดได้ว่า ราคาจะพุ่งไปเส้นต่อไปไม่ไหวก็เป็นได้ เป็นต้น

การดูว่าคลื่นไหนเป็น คลื่นไหน เราสามารถใช้ความรู้เรื่อง RSI มาช่วยกำกับได้ อย่างที่กล่าวไปในบทที่แล้วนะครับ เช่น หากคลื่นราคาใหม่ สูงขึ้น แต่ RSI ต่ำกว่าเดิม ก็มีโอกาสจะเป็นยอดคลื่น 5 ได้ เพราะ RSI จะ peak ในคลื่น 3 กับ b เป็นหลัก

Fibonacci fan กับ timezone คงไม่พูดถึงนะ ก็คล้ายกัน แต่ผมว่า ใช้วัดคลื่นหลักก็พอ โดยเฉพาะ fibo fan ผมใช้บ่อยตอนหาแนวรับ ใช้ร่วมกับ Fibonacci retracement ช่วยบอกแนวรับได้ดีมากๆ

บทต่อไปน่าจะเป็นการดู RSI, MACD นะ แต่ใครอ่านบทวิเคราะห์ของผมบ่อยๆคงได้เรียนรู้ไปเยอะแล้ว เพราะผมพูดถึงบ่อยมาก

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/5-fibonacci-number-elliott-wave/?/

บทที่ 6 เครื่องมือวัดพลังคลื่น

มีของอยู่ในมือแล้ว พวกเรามักมีปัญหาในการปล่อย หรือติดดอย เพราะไม่มีการเช็คสุขภาพ หรือพลังของคลื่น ว่าเหลือมากน้อยแค่ไหน สมควรจะเสี่ยงถือต่อไป หรือโยนให้คนอื่นถือต่อดี วันนี้มารู้จักกับเครื่องมือวัดพลังคลื่นทั้ง 3 ตัวที่ผมใช้ประจำครับ

Stochastic Oscillator เป็นตัววัดแนวโน้มที่ให้ทิศทางเร็วกว่าเพื่อน แต่ก็นั่นแหละครับ หลอกเก่งกว่าเพื่อนเหมือนกัน เหมาะกับการให้ทิศทางระยะสั้นหรือตลาด sideway มากกว่า

Stochastic Oscillator เป็นตัววัดแนวโน้มที่ให้ทิศทางเร็วกว่าเพื่อน แต่ก็นั่นแหละครับ หลอกเก่งกว่าเพื่อนเหมือนกัน เหมาะกับการให้ทิศทางระยะสั้นหรือตลาด sideway มากกว่า

RSI (Relative Strength Index) เป็นเครื่องมือวัดพลังของคลื่น ที่ผมให้น้ำหนักค่อนข้างมาก ผมใช้ยอดคลื่นของมันชี้ตำแหน่งคลื่น 3 และคลื่น b

MACD (Moving Average Convergence Divergence) เป็นเครื่องมืออีกชิ้นที่ช่วยในการตัดสินใจเรื่องการเปลี่ยนแนวโน้มของคลื่นได้ดีครับ

การใช้งานเครื่องมือทั้ง 3 ชนิด
อ่าน ตำราแล้วเหมือนจะใช้ต่างกัน แต่ผมมักจะมองภาพรวมทั้ง 3 ตัวด้วยกัน รวมถึงการนับขาตามทฤษฎีอีเลียตเวฟ เพื่อช่วยตัดสินใจเรื่องการเปลี่ยนแนวโน้ม หากใครอ่านตำรา ก็มักจะพุ่งเป้าไปที่สัญญาณ overbought/oversold เป็นหลัก แต่จริงๆแล้ว เรายังดูหลายอย่างที่ละเอียดลงไปได้อีก

สิ่งที่เราต้องมองหาในเครื่องมือโดยรวม
- Divergence/Convergence ตรงนี้อธิบายง่ายๆ คือความสัมพันธ์ระหว่างราคากับสัญญาณในเครื่องมือ มันต้องไปทางเดียวกัน เท่านั้นแหละ หากราคาขึ้นทำ high ใหม่ แล้วสัญญาณขึ้นตาม ก็ดีไป แต่หากไม่ตาม เราเรียกว่า เกิด divergence คือสัญญาณมันไม่เอาด้วย แบบนี้ ก็เตรียมถอยครับ ทางกลับกัน หากราคาลงทำ low ใหม่ และสัญญาณตามลงไป เราก็รอต่อไป แต่เมื่อไหร่ที่สัญญาณไม่ลงด้วย เราเรียกว่าเกิด convergence คือสัญญาณไม่เอาด้วย แต่เป็นเชิงบวกแทน แบบนี้ เตรียมกระโจนเข้าได้
- แนวต้านจากการลาก trend line เมื่อเกิดยอดคลื่น 2 ยอด เราสามารถลากเส้น trendline ให้เส้นสัญญาณได้ เช่นเดียวกับกราฟราคาครับ และหากสัญญาณขึ้นมาชน trendline ที่เราตีไว้ ก็มีแนวโน้มว่า จะติดเส้นนี้ได้ ทางกลับกัน หากหลุดเส้น trendline นี้ไปได้ ก็อาจพุ่งไปต่อได้เลยเช่นกันครับ
หากมองไม่เห็น สมมุติว่า เราดูใน chart รายวัน เราอาจขยับมาดูราย 4 ชั่วโมง หรือต่ำลงมาเป็นรายชั่วโมง เพื่อหาสิ่งที่เราต้องการดู

สัญญาณในกราฟ รายชั่วโมง ราย 4 ชั่วโมง รายวัน อันไหนสำคัญกว่ากัน?
บาง ครั้ง สัญญาณระดับต่างๆมันขัดแย้งกัน มือใหม่จะงง และตัดสินใจไม่ถูก ไม่รู้จะเชื่ออันไหนดี ผมอธิบายง่ายๆว่า รายวันก็เหมือนเราดูคลื่นหลัก ส่วนราย 4 ชั่วโมง หรือ รายชั่วโมง เราก็เท่ากับกำลังมองคลื่นย่อยในคลื่นหลัก คลื่นหลัก สัญญาณอาจบอกว่า กำลัง bull มาก อยู่ในคลื่น 3 แต่รายชั่วโมง สัญญาณอาจเป็น bear เพราะกำลังปรับฐานอยู่ในคลื่น 2 ย่อยของ 3 ก็เป็นได้

การใช้ MACD ดูการเปลี่ยนแนวโน้ม
MACD ถูกยกย่องให้เป็นราชาของเครื่องมือวัด เพราะมีความน่าเชื่อถือค่อนข้างสูง วิธีการดู MACD ก็ดูว่า
- เมื่อไหร่ที่ เส้นสัญญาณ (เส้นสีแดง) อยู่เหนือแถบ MACD จะ bearish หรือกลับเป็นขาลง
- เมื่อไหร่ที่ เส้นสัญญาณ (เส้นสีแดง) อยู่ใต้แถบ MACD จะ bullish หรือกลับเป็นขาขึ้น
นอก จากนั้น ก็เป็นการมองหา divergence/convergence และ การใช้ trendline วัดความสูงเพื่อหาแนวต้านแนวรับแล้ว อย่างที่บอกไป แต่ยังมีอีกจุดที่น่าสนใจมาก คือมันสามารถบอกพลังงานสะสมได้ครับ เมื่อใดที่เส้นสัญญาณ (เส้นสีแดง) กับ MACD ตีคู่กันใกล้ๆไปสักระยะ จะเกิดพลังงานสะสม และมักมีไม้เขียว หรือไม้แดงยาวๆตามมาให้เห็นบ่อยๆครับ ลองไปสังเกตดู MACD ที่เกิดขึ้นมาในอดีตดูครับ ให้สัญญาณก่อนเกิดไม้เขียวไม้แดงยาวๆตามมา ชนิดทำกำไรได้สบาย

ถึงบท นี้ ความฮึกเหิมคงเริ่มเกิดในตัวแล้วใช่มั๊ยละครับ แต่อยากจะบอกว่า พอไปดูคลื่นจริงๆ อาจจะยังคงเมากันอยู่ครับ คงต้องอาศัยประสบการณ์ที่ต้องค่อยๆสะสมแล้ว อันนี้ สอนกันยาก ได้แต่บอกว่า ค่อยๆดูไปครับ ทุกวันนี้ ผมก็ยังสะสมอยู่เหมือนกัน
บทต่อไป คงเป็นเรื่องของ เครื่องมือปลีกย่อย อย่าง Moving Average, Trendline, ฯลฯ แต่ผมว่า ศึกษาเองก็ไม่น่ายากแล้วนา

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/6-486/?/

ทฤษฎี Elliott Wave


ย้อนกลับไปในปี 1920-30s มีอัจฉริยะด้านการบัญชีคนหนึ่งชื่อ
Ralph Nelson Elliott (ราฟ เนลสัน เอลเลียต)
ได้ ทำการวิเคราะห์วิจัยตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิด กับข้อมูลบน 75 ปี ของ ตลาดหุ้น เขาพบว่า ตลาดหุ้นนั้น มีพฤติกรรมที่การเคลื่อนไหวของราคาที่ไร้รูปแบบ
ซึ่งปกติไม่ได้เป็นแบบนั้น

เมื่ออายุ 66 ปี เขาได้หลักฐานสุดท้ายที่ทำให้มั่นใจในการค้นพบของเขา เข้าตีพิมพ์ทฤษฎีลงหนังสือ
ชื่อThe Wave Principle.
เขา บอกว่า ตลาดนั้นมีการเทรดเป็นลักษณะวงจรที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กัน ซึ่งสาเหตุนั้นมาจาก อารมณ์ของนักลงทุน ที่ส่งผลมาจากปัจจัยต่าง ๆ กัน เช่น (ข่าวใน CNBC Bloomberg, ESPN) หรือ ข่าวที่มีผลต่อจิตวิทยา ของนักลงทุน เวลานั้น ๆ
อธิบายว่า การสวิงขึ้นลงของทิศทางราคา สาเหตุนั้นเกิดจากพฤติกรรมทางจิตวิทยา ซึ่งแสดงออกมาในรูปแบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ เสมอ ๆ
เขาเรียกการสวิงขึ้นลงของราคาในลักษณะนี้ว่า คลื่น หรือ Waves
เขา เชื่อว่า ถ้าเราสามารถวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับพฤติกรรมราคาที่เกิดซ้ำ ๆ ได้ ก็จะสามารถทำนาย ทิศทางราคาได้ ว่ามันจะไปทางไหน (หรือว่าไม่เคลื่อนไหว) ต่อไป

สิ่งนี้ทำให้ Elliott waves นั้นเป็นที่นิยมในหมู่นักเทรด มันทำให้พวกเขาสามารถวิเคราะห์ราคา ว่าจะไป ทิศทางไหน หรือ กลับตัวที่จุดไหน หรือถ้าจะให้พูดอีกอย่าง

Elliot Wave ทำให้นักเทรดสามารถจับรูปแบบการเกิด Top จุดสูงสุด กับ Bottom จุดต่าสุดได้
ดังนั้น ท่ามกลางความวุ่นวายของทิศทางราคา Elliott สามารถค้นพบการจัดเรียงตัวของมัน

เหมือนอัจฉริยะคนอื่น ๆ เขาต้องเป็นเจ้าของการค้นพบนี้
ดังนั้น จึงมีชื่อทฤษฎีของเขาว่า The Elliott Wave Theory.

ก่อนที่เราจะเจาะลึกตัว Elliott waves ต้องเข้าใจเป็นอันดับแรกก่อนว่า มันคือ Fractals
โดย ทั่วไปแล้ว Fractal เป็นโครงสร้างแบบหนึ่งที่สามารถแบ่งออกเป็นส่วน ๆ ได้ ซึ่งส่วนต่าง ๆ เหล่านั้น ที่ถูกแยกออกมา จะมีลักษณะความคล้ายคลึงกัน นักคณิตศาสตร์จะเรียกปรากฏการณ์ นี้ว่า "ความเหมือนในตัวมันเอง" หรือ Self similarity คุณไม่ต้องไปหาตัวอย่างของเรื่อง Fractal นี้ที่ไหนไกล เพราะตัวอย่างของมัน เราสามารถหาได้ตามธรรมชาติมากมาย อยู่แล้ว


 เปลือกหอยทะเล ก็เป็นตัวอย่างของ Fractal แบบหนึ่ง เกล็ดหิมะก็เป็น Fractal และรวมทั้งเมฆ และสายฟ้าก็เป็น Fractal ด้วยเช่นกัน

Fractal สาคัญ อย่างไร?
สิ่ง สาคัญอย่างหนึ่งของลักษณะของ Elliot Wave คือมันเป็น Fractal ซึ่งมีลักษณะเดียวกันกับ เปลือกหอยทะเล และเกล็ดหิมะ Elliot Wave จะแบ่งย่อย ๆ ได้เป็นกลุ่มคลื่นเล็ก ๆ ได้อีกมากมาย

Mr. Elliott กล่าวว่า ตลาดและการเคลื่อนไหวของทิศทางราคาในตลาดนั้น เคลื่อนไหวในรูปแบบที่เขาเรียกว่า 5 -3
รูปแบบคลื่น 5 คลื่นแรก เรียกว่า Impulse waves
รูปแบบคลื่น 3 คลื่น เรียกว่า Corrective waves
เวฟรูปแบบนี้ เวฟที่ 1 3 5 เป็นรูปแบบ Motive หมายถึง จะไปในทิศทางเดียวกับเทรนด์หลัก ขณะที่เวฟ 2 4 เป็น Corrective

อย่าสับสนกับเวฟ 2 และ 4 มาปนกับรูปแบบ Corrective ABC (อยู่ในเรื่องต่อไป)

รูปแบบ 5 คลื่นแบบ Impulse

หรือ

 กำหนดสีให้ เพื่อมีการนับคลื่นง่ายขึ้น ทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในแต่ละเวฟ

จะ ใช้หุ้นเป็นตัวอย่าง เพราะ หุ้นเป็นกรณีศึกษาของ Elliott แต่ไม่สาคัญ เพราะมันใช้ได้ทั้ง ค่าเงิน อนุพันธ์ ทอง สิ่งสำคัญคือ ทฤษฎี Elliot Wave สามารถประยุกต์ในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราได้

คลื่นที่ 1
ราคาหุ้น พุ่งขึ้น เป็นเพราะ มีคนกลุ่มเล็ก ๆ ในตลาด (ด้วยหลาย ๆ เหตุผล ทั้งจินตนาการ หรือการคิดแบบมีเหตุผล ของพวกเขา) พวกเขาคิดว่าราคาหุ้นนั้นถูก และเป็นเวลาเหมาะที่จะซื้อ ทำให้ราคาขึ้น

คลื่นที่ 2
จุด นี้ เป็นจุดที่ผู้คนส่วนหนึ่งที่ถือหุ้นมาก่อน แล้วคิดว่าหุ้นได้แพงเกินมูลค่าของมันแล้ว พวกเขาจึงขายทำกำไร ออกมา ทำให้ราคาหุ้นลง อย่างไรก็ตาม ราคาจะไม่ต่ากว่าราคา Low เดิม (ราคาต่ำสุดครั้งก่อนหน้า) ก่อนที่จะมี การเคลื่อนไหวในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ต่อไป

คลื่นที่ 3
เป็นคลื่นที่แรงที่สุด ในบรรดาคลื่นเหล่านี้ หุ้นขึ้นมาจาก คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาร่วมกันซื้อ ผู้คนสนใจหุ้นตัวนี้มากขึ้น และอยากจะซื้อมัน ทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะทะลุราคาสูงสุดของคลื่นที่ 1 ก่อนหน้านี้ไป

คลื่นที่ 4
เท รดเดอร์เริ่มขายทำกำไร เพราะพวกเขาคิดว่าราคาหุ้นแพงไปแล้ว แต่ว่าคลื่นนี้ก็ไม่ค่อยมีแรงขายมากเท่าไร เพราะยังมีคนเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น และยังคิดว่าหุ้นตัวนี้ยังอยู่ในขาขึ้น และอยากจะซื้อในราคาที่มันปรับฐานลงมา

คลื่นที่ 5
เป็นจุดที่คน ส่วนใหญ่เข้าสู่ตลาด หุ้นซึ่งมาจากอารมณ์ของพวกเขาล้วน ๆ เพราะคุณเห็น CEO ของบริษัทออกมาพูด ในหน้าต่าง ๆ ของนิตยสารดัง ๆ ในฐานะบุคคลแห่งปี เทรดเดอร์และนักลงทุนเริ่มหาเหตุผล มาซื้อหุ้นตัวนี้ และ พยายามทำให้คุณตกใจกับราคาที่พุ่งไป ถ้าคุณคิดว่าหุ้นตัวนี้แพงมากแล้ว
ซึ่ง เหตุการเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อ ราคาหุ้นเริ่มที่จะมีมูลค่าสูงเกินจริง ซึ่งพวกที่เล่น Short ก็จะเริ่มเข้ามา Sell ในตลาด เมื่อหุ้นเริ่มเข้าสู่ภาวะ ABC

คลื่นขยาย Impulse Waves
สิ่ง หนึ่งที่ต้องรู้ เกี่ยวกับทฤษฎี Elliot Wave คือ คลื่นแบบ Impulse 3 คลื่น (1 3 5) ซึ่งจะมีคลื่นตัวใดตัวหนึ่ง ยาวกว่าอีกสองคลื่นเสมอ

เริ่มจาก คลื่นที่ 1 แล้วคลื่นที่ 3 จะยาวกว่าคลื่นที่หนึ่ง และคลื่นที่ 5 ตามระดับความยาวของแรงคลื่น

ตาม ที่ Elliott กล่าวไว้คลื่นที่ 5 จะเป็นคลื่นขยายเข้ามาตอนท้าย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก่อนคลื่นที่ 5 เปลี่ยนไป เพราะว่าทุกคนเริ่มใช้คลื่นที่สาม มาเป็นคลื่นขยายเข้ามา

*คลื่นขยาย หมายถึง ตัวคลื่นที่มีความยาวกว่าคลื่นปกติ หรือได้ถูกขยายออกไป*
เท รนด์ของคลื่นทั้ง 5 จะถูกยืนยันจากการเกิดรูปแบบกลับตัว จากคลื่นสามคลื่น ที่ตรงข้ามกับเทรนด์ ตัวอักษรจะถูกใช้แทนการใช้ตัวเลขในการนับเทรนด์
ดูตัวอย่างของการนับคลื่นแบบ Corrective 3-wave pattern

ตลาดในภาวะกระทิง


ตลาดในภาวะหมี


ตาม ที่ Elliott กล่าวไว้ มีรูปแบบ Corrective Wave ABC อยู่ 21 รูปแบบ จากรูปแบบง่าย ๆ ไปจนถึง รูปแบบที่มี ความซับว้อน ไม่จำเป็นต้องจดจำรูปแบบทั้ง 21 ชนิดทั้งหมด เพราะสร้างขึ้นมาจากรูปแบบสามรูปแบบ ที่สามารถเข้าใจได้ง่าย

ดูรูปแบบสามรูปแบบ รูปแบบข้างล่าง ใช้กับเทรนด์ขาขึ้น แต่สามารถปรับใช้กับเทรนด์ขาลงได้เช่นเดียวกัน

รูปแบบ Zig-Zag


รูป แบบ Zig-zag เป็นรูปแบบกราฟทิศทางราคาที่มีความชันมาก ซึ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับเทรนด์ คลื่น B ปกติ จะสั้น เมื่อเปรียบเทียบกับคลื่น A และคลื่น C ซึ่งรูปแบบ zig zag สามารถเกิดสองหรือสามครั้งใน Elliott wave Correction (มี zig zag สองถึงสามอันต่อกัน) และเหมือนคลื่นอื่น ๆ คลื่นแต่ละชนิดใน Zig Zag สามารถแตกย่อย เป็น 5 คลื่นได้อีกเหมือนกัน

รูปแบบราบ


รูป แบบราบ เป็นรูปแบบ Side way corrective wave ความราบของความยาวของคลื่นจะมีเท่า ๆ กัน ซึ่ง คลื่น B เป็นการกลับตัวของคลื่น A และ คลื่น C เป็นรูปแบบการกลับตัวของคลื่อน B อีกที เป็นไปได้ว่า คลื่น B อาจจะเลย จากจุดกำเนิดของคลื่น A ได้บ้างเล็กน้อย

รูปแบบสามเหลี่ยม


รูป แบบสามเหลี่ยม เป็นรูปแบบที่ราคาเป็นคลื่นเด้งขึ้นลง อยู่ในแนวเส้นรูปสามเหลี่ยม สามเหลี่ยมจะมี 5 คลื่น ที่อยู่ในรูปสามเหลี่ยม อาจจะเป็นแบบสามเหลี่ยมหดตัวลง หรือ กว้างขึ้น

คลื่น Elliott เป็น Fractal ซึ่งคลื่นแต่ละคลื่นจะมีคลื่นเล็ก ๆ แทรกอยู่


 คลื่น ที่ 1, 3, และ 5 จะมีคลื่นเล็ก ๆ แทรกอยู่ในคลื่นเหล่านี้ และคลื่นที่ 2 และคลื่นที่ 4 ก็มี 3 คลื่นเล็กๆ แทรกอยู่ในนั้น ด้วยเหมือนกัน
ต้องจำไว้เสมอว่า คลื่นแต่ละคลื่นจะประกอบด้วยคลื่นเล็ก ๆ อีก ซึ่งรูปแบบนี้จะมีความคล้ายตัวของมันเอง จนไม่มีที่สิ้นสุด!

 ให้ เราเข้าใจเรื่องนี้ง่าย สามารถบอกได้ว่า ทฤษฎี Elliott Wave เป็นการจัดลำดับจากคลื่นที่ใหญ่สุด ไปหาคลื่น ที่เล็กที่สุด ประกอบด้วย:

- Grand Supercycle
- Supercycle
- Cycle
- Primary
- Intermediate
- Minor
- Minutte
- Minuette
- Sub-Minuette

Grand Supercycle ได้มาจากคลื่น Supercycle ที่มาจากคลื่นแบบ Cycle ที่มาจากคลื่นแบบ Primary ที่มาจากคลื่นแบบ Intermediate ที่มาจากคลื่นแบบ Minor ที่มาจากคลื่นแบบ Minuette ที่็มาจากคลื่นแบบ Sub-Minuette

ทำให้ทฤษฎีที่ได้อธิบายให้ง่าย ดูว่าเราจะใช้ Elliott Wave ในกราฟจริง ได้อย่างไร


 อย่าง ที่เห็นคลื่นไม่ได้มีรูปร่าง แบบที่เราอธิบายไป ในกราฟจริง จะพบว่ามันยากที่จะกำหนดคลื่นด้วย แต่ว่า ยิ่งคุณ ฝึกมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งเข้าใจมัน ได้มากขึ้นเท่านั้น  อีกประการในที่นี้เราจะให้เคล็ดลับ และเพื่อให้ง่ายในการวิเคราะห์ลักษณะของคลื่น จะทำให้คุณเทรดโดยใช้คลื่น Elliotte ได้ดี มาโต้คลื่นกัน!


 คุณ คงจะคิดว่า การใช้ Elliot Wave ในการเทรด ขึ้นอยู่กับความสามารถที่จะวิเคราะห์ตัวคลื่นได้ ในการพัฒนาการมองคลื่นของเราว่า ตอนนี้ ตลาดอยู่ในคลื่นที่เท่าไหร่

คุณจะสามารถบอกได้ว่าคุณควรจะเทรดด้านไหน Buy หรือ Sell

 มี กฏสำคัญ 3 ข้อ ที่ห้ามแหกกฏ เพื่อการวิเคราะห์คลื่น ดังนั้นก่อนที่คุณจะเข้าเทรดแบบทฤษฎี Elliotte Wave คุณต้องจดบันทึกกฏต่อไปนี้ไว้

การวิเคราะห์คลื่นผิดจะทาให้เงินในบัญชีของเราหายไปอย่างมาก

กฏ 3 ข้อ ของทฤษฎี Elliott Wave Theory

- กฏข้อที่ 1 : คลื่นที่ 3 จะไม่มีทางสั้นกว่า คลื่นที่ 1 และ คลื่นที่ 5
- กฏข้อที่ 2 : คลื่นที่ 2 จะไม่ลงไปต่ากว่า จุดเริ่มต้น ของคลื่นที่ 1
- กฏข้อที่ 3 : คลื่นที่ 4 จะไม่สามารถลงไป จนถึงพื้นที่ของ คลื่นที่ 1 ได้

มีแนวทางที่จะช่วยให้คุณระบุลักษณะของคลื่น ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะไม่เหมือนกับกฏทั้ง 3 ข้อ คือ

แนวทางสามารถยืดหยุ่นได้ ดังนี้ :

- ในทางกลับกัน บางครั้ง คลื่นที่ 5 จะไม่ลงไปต่ากว่าจุดสิ้นสุด ของคลื่นที่ 3 ซึ่งเรียกว่า การแบ่งเป็นส่วน ๆ
- คลื่นที่ 5 จะไม่ทะลุเส้นเทรนด์ไลน์ ที่ลากเฉียงมาจากจุดเริ่มต้นของคลื่นที่ 3 และจุดเริ่มต้นของคลื่นที่ 5
- คลื่นที่ 3 จะยาว คม และ ขยายออกไป
- คลื่นที่ 2 และ 4 จะหลุดออกจาก แนวเส้น Fibonacci


สิ่งที่รออยู่ คือ การใช้ทฤษฎีคลื่น Elliott ในการเทรด เราจะมาดูการประยุกต์ใช้ในการหา จุดเข้า จุดหยุดขาดทุน และจุดทำกำไร

เหตุการณ์ที่ 1 ในบางสถานการณ์ การไม่ต้องมีเหตุผลอาจจะดีกว่าก็เป็นได้ :
เช่น คุณต้องการเริ่มนับคลื่น จะเห็นว่าราคาเริ่มจะมีจุดต่ำสุด และเริ่มจะมีการเคลื่อนไหวขึ้น ใช้ความรู้ของคุณเรื่อง Elliot Wave คุณเริ่มนับตรงนี้ว่า เป็นคลื่นที่ 1 และจุดแนวรับเป็นคลื่นที่สอง


 ในการหาจุดเข้าที่ดี ต้องกลับไปดูกฏทั้ง 3 ข้อ และ แนวทางในการใช้ Elliott Wave มาประยุกต์ใช้ สิ่งที่จะต้องเจอคือ:

- กฏข้อที่ 2 คลื่นที่ 2 จะไม่ลงไปต่ากว่า จุดเริ่มต้น ของคลื่นที่ 1
- คลื่นที่ 2 และ คลื่นที่ 4 จะเคลื่อนไหวออกจากแนวเส้น Fibonacci

ดัง นั้น เราควรใช้ทักษะของ Elliot Wave ในการเทรด ถ้าคุณลองใส่ Fibonnacci ลงไปในกราฟของคุณ ถ้าราคา อยู่ที่แนว Fibonnacci และราคากำลังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ ๆ ระหว่างเส้น Fibonacci 50% ซึ่งหมายความว่า นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้น ของคลื่นที่ 3 เป็นสัญญาณซื้อที่แรงมาก สัญญาณหนึ่ง


ตั้งแต่ คุณได้เรียนรู้อะไรไปเยอะ จะเห็นว่าสิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ คุณจะต้องใส่ จุดหยุดขาดทุน เข้าไปด้วย ตามกฏ ข้อที่ 2 ที่บอกว่า คลื่นที่ 2 จะไม่ไปต่ำกว่า จุดเริ่มต้นของคลื่นลูกที่ 1 ดังนั้นคุณอาจจะตั้ง จุดหยุดขาดทุน (Stop loss) ไว้ให้ต่ำกว่าจุดต่ำสุดครั้งก่อนหน้า หรือ จุดเริ่มต้นของคลื่นที่ 1 อยู่นิดหน่อย ถ้าราคาลงไปเยอะกว่า 100 % ของคลื่นลูกที่ 1 นั่นหมายความว่า คุณนับคลื่นผิด มาดูว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ...


 การวิ เคราะห์ Elliott Wave ของคุณได้ผลเป็นอย่างดี และสามารถเข้าเทรนด์ใหญ่ ๆ ได้ ไม่ต้องห่วง เพราะเรา มีวิธีทำกำไร ที่คุณสามารถทำเงินได้อีกครั้ง

เหตุการณ์ที่ 2 ตอนนี้ จะให้คุณใช้ความรู้ที่คุณมี ในการวิเคราะห์ Elliot Wave แบบ corrective waves ในการหาจุดเข้า-ออก


คุณ ต้องเริ่มนับคลื่นตอนขาลง และสังเกตุว่า รูปแบบ ABC corrective กำลังเคลื่อนไหวเป็น Side way ซึ่งนี่เป็น รูปแบบราบ (Flat formation) หมายความว่า ราคาพึ่งจะเริ่มเป็นตัว Elliott Wave อีกครั้งเมือ ตัวคลื่น C จบลง


เชื่อ ในทักษะ ให้คุณส่งออร์เดอร์ Sell และจะได้ขี่เทรนด์ไปด้วยกัน ส่งออร์เดอร์หยุดขาดทุน ให้เหนือกว่า จุดเริ่มต้น ของคลื่นที่ 4 นิดหน่อย เผื่อว่าคุณจะนับคลื่นผิด


 เพราะ เราชอบตอนจบแบบ แฮปปี้ เอนดิ้ง การเทรดของคุณประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี และทำกำไรให้คุณได้หลายพันจุด ซึ่งเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก

คุณยังได้บทเรียนตอนนี้อีกว่า อย่าไปเล่นการพนัน แล้วใช้กำไรที่ได้ เพิ่มทุนเข้าไปให้บัญชีจะดีกว่า

- Elliott Waves เป็น fractals คลื่นแต่ละคลื่นสามารถแยกเป็นคลื่นย่อย ๆ ได้ ซึ่งเมื่อแบ่งออกมาแล้ว จะมีลักษณะ ความคล้ายกันของตัวมันเองอยู่ทุกคลื่น นักคณิตศาสตร์มักจะเรียกปรากฏการนี้ว่า ความคล้ายตัวของมันเอง หรือ "self-similarity"

- ตลาดที่เกิดเทรนด์ จะเคลื่อนไหวเป็นรูปแบบ คลื่น 5 - 3
- คลื่น 5 คลื่นแรก เรียกว่า Impulse wave.
- คลื่นใดคลื่นหนึ่ง ใน 3 คลื่นแบบ impulse (1, 3, หรือ 5) จะเป็นคลื่นขยาย ซึ่งปกติจะเป็นคลื่นที่ 3
- คลื่น 3 คลื่นหลัง เรียกว่า คลื่น corrective จะใช้ตัวอักษรแทนการเรียกเป็นเลข
- คลื่นที่ 1, 3 และ 5, จะมีคลื่นเล็ก ๆ แบบ impulse อยู่ในนั้น 5 คลื่น ขณะที่คลื่น 2 – 4 จะมีคลื่นเล็ก ๆ แบบ corrective อยู่ 3 คลื่นแทรกอยู่ในนั้น
- มีคลื่นแบบ corrective อยุ่ 21 ชนิด แต่ว่ามันมีพื้นฐานมาจากพื้นฐานของ 3 ชนิด ง่ายที่จะทำความเข้าใจ
- รูปแบบพื้นฐานของ Corrective เหล่านั้นคือ ซิกแซก (zig-zags), แบบราบ (flats), และ แบบสามเหลี่ยม (triangles)
- มีกฏสามข้อในการระบุคลื่น:
-- กฏข้อที่ 1 คลื่นที่ 3 จะไม่สั้นกว่า คลื่นที่ 1 และคลื่นที่ 5
-- กฏข้อที่ 2 คลื่นที่ 2 จะไม่ลงไปต่ำกว่าจุดเริ่มเกิด คลื่นที่ 1
-- กฏข้อที่ 3 คลื่นที่ 4 จะไม่ลงไปต่ำจนถึงพื้นที่ของ คลื่นที่ 1
-- ถ้าคุณมองดูให้ดี ๆ ตลาดนั้นเคลื่อนไหวเป็นแบบคลื่นจริง ๆ
-- เพราะว่าตลาดไม่ได้เคลื่อนไหวง่าย ๆ ตามที่เราได้อธิบาย แต่ว่ามันจะใช้เวลานานมากในการวิเคราะห์คลื่น ก่อนที่คุณจะเริ่มรู้สึกว่า คุณจะหาคลื่น Elliott ได้ง่าย ขอให้คุณขยันเข้าไว้และอย่ายอมแพ้!

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่   http://www.thaibestforex.com/forex/elliott-wave/?/

รูปแบบราคา Harmonic

คุณ มีรูปแบบกราฟพื้นฐาน ในกล่องเครื่องมือ มาก พอสมควร ตอนนึ้ถึงเวลาที่จะเดินก้าวต่อไป และ หาเครื่องมือที่รุดหน้ากว่า เพื่อใช้ในการเทรด
ในบทนี้ จะเน้นไปที่รูปแบบพฤติกรรมราคาแบบฮาร์โมนิค ซึ่งอาจจะยากในการทำความเข้าใจ แต่เมื่อจับแนวทางถูก มันก็จะทำให้ คุณได้กำไร อย่างง่ายดาย ได้เหมือนกัน !
ประเด็นของการเล่นแบบนี้ ก็คือ ช่วยให้ระบุระดับต่าง ๆ ของเทรนด์ปัจจุบันได้ ซึ่งจริง ๆ แล้ว เราจะใช้เครื่องมือ อื่น ๆ ทีเรารู้มาด้วย ในบทนี้ เช่น แนวเส้นต่าง ๆ ของ Fibonacci และ Fibonacci extension! ถ้าเราเอามา ประยุกต์กับเครื่องมือเหล่านี้ ในการบอกรูปแบบราคา แบบ Harmonic ก็จะสามารถบอกได้ว่า บริเวณไหน ที่จะเป็นจุดที่เทรนด์จะหยุด หรือจะไปต่อ

ในบทเรียนนี้ เราจะพูดถึงเรื่อง รูปแบบราคาแบบฮาร์โมนิค ดังนี้ :
- รูปแบบ ABCD
- รูปแบบ Three-Drive
- รูปแบบ Gartley
- รูปแบบ Crab (ปู)
- รูปแบบ Bat (ค้างคาว)
- รูปแบบ Butterfly (ผีเสื้อ)

เมื่อ คุณเข้าใจแนวทางของมันแล้ว จะง่ายกว่าที่คิด เหมือนกับเลข 1-2-3 เราจะเริ่มจาก รูปแบบพื้น ๆ แบบ ABCD และรูปแบบ three-drive ก่อนที่เราจะไปที่รูปแบบ Gartley และ รูปแบบสัตว์ต่าง ๆ หลังจากที่ได้เรียนรู้ และเข้าใจ แล้ว เราจะศึกษาไปยังสิ่งที่คุณจะต้องใช้ กับรูปแบบเหล่านี้ ในการเทรด อย่างประสบ ความสำเร็จ สำหรับรูปแบบ ฮาร์โมนิคเหล่านี้ ประเด็นก็คือ ให้รอจนกว่าจะมีรูปแบบเกิดขึ้นก่อนที่คุณจะเทรด ไม่ว่าจะเป็นออร์เดอร์ Buy หรือ Sell แล้วคุณก็จะเข้าใจเอง ในสิ่งที่เรากำลังจะอธิบายให้คุณรู้ต่อไปนี้

รูปแบบ ABCD และ รูปแบบ Three-Drive.


เริ่ม บทนี้ด้วยรูปแบบราคา ฮาร์โมนิค ที่ง่ายที่สุดก่อน รูปแบบกราฟแบบ ABCD ในการจะกำหนดรูปแบบกราฟแบบนี้ ในโปรแกรม คุณจะต้องใช้สายตา และเครื่องมือ Fibonacci ทั้งกราฟรูปแบบกระทิง และรูปแบบหมี ในเวอร์ชั่นของ ABCD เส้น AB และเส้น CD จะถูกเรียกว่าขา ในขณะที่ เส้น BC จะเป็น Correction หรือ เส้นแนวรับ ถ้าคุณใช้ Fibonacci ที่ขาของเส้น AB เส้น BC ก็จะอยู่ที่ระดับ 0.618 และเส้น CD ก็จะอยู่ที่ระดับ 1.272 ใน Fibonacci extension ของเส้น BC
สิ่งที่ต้องทำคือ รอให้รูปแบบเหล่านี้เกิดขึ้นเสร็จแล้ว (ให้ถึงจุด D) ก่อนที่จะส่งออร์เดอร์ Buy หรือ Sell


 คุณต้องการความแม่นยำกับมัน มีกฏให้ใช้กับรูปแบบ ABCD
- ความยาวของเส้น AB ควรจะเท่ากับ ความยาวของเส้น CD
- เวลาที่ทำให้ราคา เคลื่อนไปจากจุด A ถึงจุด B ควรจะเท่ากับเวลาที่มันเคลื่อนจากจุด C ถึงจุด D


รูป แบบ Three-drive เหมือนกับรูปแบบ ABCD ยกเว้นมันมีสามขา (ซึ่งเราเรียกว่า Drive) และมีเส้น Correction หรือ แนวรับ จริง ๆ แล้ว รูปแบบ Three drive เป็นต้นกาเนิดของ Elliott Wave คุณจำเป็นต้องมีสายตา แหลมคม เครื่องมือ Fibonacci เป็นกุญแจในการถอดรหัสรูปแบบนี้


 ตาม ที่เห็นจากกราฟข้างบน จุด A ควรจะเป็นระดับ Fibonacci ที่ 61.8% ของ Drive 1 และ จุด B ควรจะเป็น ระดับ 0.618 ของ drive 2. และ Drive 2 ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.272 ของ Correction A และ Drive 3 ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.272 extension Fibonnacci ของ correction B

โดยทั่วไปแล้ว เมื่อรูปแบบ Three-drive เกิดขึ้นแล้ว คุณสามารถส่งออร์เดอร์ของคุณได้ทั้งออร์เดอร์ Buy และ ออร์เดอร์ Sell ซึ่งเมื่อราคาถึงจุด B คุณสามารถส่งออร์เดอร์ Buy หรือ Sell ที่ระดับ 1.272 extension ซึ่งคุณไม่ควรจะพลาด!

แต่ก่อนอื่น เราควรตรวจดูว่า ตรงตามกฏเหล่านี้หรือไม่:
- เวลาที่ไปจนถึงจุดสิ้นสุด ของ Drive 2 ควรจะเท่ากับ เวลาที่จบ Drive 3
- เวลาที่ไปถึงจุดสิ้นสุดของเส้นแนวรับ A ควรจะเท่ากับ จุดแนวรับ B

หมายเหตุ : คนที่ไม่เข้าใจว่า Extension คืออะไร ให้ไปดูเรื่อง Fibonnacci extension

รูปแบบ Gartley และ รูปแบบสัตว์ต่าง ๆ
มี นักเทรดอัจฉริยะคนหนึ่ง ชื่อว่า Harold McKinley Gartley เขาเป็นผู้บริการให้คำปรึกษาในการลงทุน ในตลาด หลักทรัพย์ ในช่วงกลางของยุค 1930 และมีลูกค้ามากมาย ซึ่งบริการของเขาเป็นการรวมเอาวิทยาศาสตร์ และ วิธีการทางสถิติ ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของราคาตลาดหุ้น

ในที่สุด Gartley ก็สามารถแก้ปัญหาใหญ่ ๆ สองอย่างของนักเทรดได้ คือ ควรจะซื้ออะไร และเมื่อไหร่ ในไม่ช้า นักเทรดก็เข้าใจว่า รูปแบบนี้ก็สามารถประยุกต์ใช้กับตลาดอื่น ๆ ได้เช่นกัน ซึ่งหนังสือ โปรแกรมเทรด หรือ รูปแบบ การเทรดต่าง ๆ ก็อ้างทฤษฎี จากทฤษฎีของเขา

รูป แบบ Gartley "222" เป็นชื่อของเลขหน้า ที่พบในหนังสือของ Gartley ชื่อ Profits in the Stock Market. รูปแบบ Gartleys เป็นรูปแบบซึ่งรวมไปด้วยรูปแบบพื้นฐาน อย่าง ABCD ที่เราพูดไปก่อนหน้านี้แล้ว และ ให้ความสำคัญ ของจุดสูงสุด และจุดต่ำสุดของราคา


รูป แบบนี้จะเกิดขึ้นเมื่อเกิดรูปแบบ Correction ของเทรนด์ ซึ่งจะมีรูปร่างคล้าย ตัว M หรือตัว W ในภาวะตลาดหมี รูปแบบนี้ช่วยให้นักเทรด หาจุดเข้าที่ดี ในการเข้าเทรดในเทรนด์ต่าง ๆ ได้ดี
รูป แบบ Gartley จะเกิดขึ้นเมื่อพฤติกรรมราคา ในเทรนด์ขาขึ้น หรือขาลง แต่ ต้องมีรูปแบบสัญญาณ Correction ก่อน แล้วสิ่งที่ทำให้รูปแบบ Gartley ทำให้มันทำงานได้ดี เมื่อในการหาจุดเหล่านี้คือ Fibonacci และ Fibonacci extension จุดนี้ให้สัญญาณชัดเจนว่า ทิศทางราคา อาจจะเกิดการกลับตัว


รูป แบบนี้อาจจะยากซักหน่อย เพราะมันทำให้คุณสับสันเมื่อคุณใส่ เครื่องมือ Fibonacci ลงไป กุญแจสำคัญ ในการหลีกเลี่ยงไม่ให้มีความสับสน คือให้ทำทีละอย่าง แล้วค่อย ๆ วิเคราะห์ทีละขั้น

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ ตาม รูปแบบต่อไปนี้จะเกิดขึ้นทั้งรูปแบบ ABCD ในภาวะตลาดหมี และตลาดกระทิงได้ทั้งคู่ แต่ว่าต้องมีจุด (x) มาก่อนจุด D ถึงจะสามารถวิเคราะห์รูปแบบ Gartley ได้

 โดยจะมีลักษณะดังนี้ :
1. เส้น AB ควรจะอยู่ที่ระดับ .618 ของเส้น XA.
2. เส้น BC ควรจะอยู่ที่ระดับ .382 หรือ .886 ที่ใดที่หนึ่งของเส้น AB.
3. ถ้าเส้น BC อยู่ที่ระดับ .382 ของเส้น AB ดังนั้นเส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.272 ของเส้น BC และถ้าเส้น BC อยู่ที่ระดับ .886 ของเส้น AB เส้น CD ก็ควรจะเลื่อนไปอยู่ที่ระดับ 1.618 ของเส้น BC ตามลาดับ
4. เส้น CD ควรจะอยู่ที่ .786 ของเส้น XA

รูปแบบ สัตว์ต่าง ๆ

เมื่อ เวลาผ่านไป รูปแบบ Gartley ได้รับความนิยมมากขึ้น และมาพร้อมกับรูปแบบของปัญหา หรือตัวแปร ที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุผลบางอย่าง ผู้ค้นพบตัวแปรเหล่านี้ ได้ตั้งชื่อ เป็นชื่อของสัตว์แต่ละชนิด มีดังนี้ ...


 ใน ปี 2000, Scott Carney, คนที่เชื่อในรูปแบบราคาแบบ harmonic ค้นพบรูปแบบ "Crab" (ปู) เขาบอกว่า รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่แม่นยำที่สุด ในหมู่ของรูปแบบ Harmonic เพราะว่า เป็นจุดที่อาจจะเกิดจุดกลับเทรนด์ได้ (บางครั้งเรียกว่าเป็น จุดที่คุณจะหมดตัวได้)
รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่ High reward-to-risk (อัตรากำไรสูงกว่าขาดทุน) เพราะคุณสามารถตั้ง Stop loss ได้ไม่ต้องมากนัก


รูปแบบปูจะต้องมีลักษณะอย่างนี้ :
1. เส้น AB ควรจะอยู่ที่ระดับ .328 หรือ .618 ของเส้น XA
2. เส้น BC ควรจะอยู่ที่ .328 หรือไม่ก็ .886 ของเส้น AB
3. ถ้าเส้น BC ระดับ Fibonacci เท่ากับ .328 ของเส้น AB ดังนั้น เส้น CD ควรจะเท่ากับ 2.24 ของเส้น BC และ ถ้าเส้น BC อยู่ที่ระดับ .886 ของเส้น AB เส้น CD ก็ควรจะอยู่ที่ระดับ 3.618 extension ของเส้น BC
4. เส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.618 extension ของเส้น XA

 ใน ปี 2001 Scott Carney พบรูปแบบ Harmonic ขึ้นมาอีก เขาจึงเรียกมันว่า Bat หรือ ค้างคาว รูปแบบ Bat นี้จะอยู่ที่ระดับ .886 ของเส้น XA ซึ่งจะเป็นจุดที่คาดว่าจะเป็นจุดกลับตัวของทิศทางราคา

โดยรูปแบบ Bat จะมีลักษณะดังต่อไปนี้ :
1. เส้น AB ควรจะอยู่ที่ระดับ .382 หรือ .500 ของเส้น XA
2. เส้น BC ควรจะอยูที่ระดับ .382 หรือ .886 ของเส้น AB
3. ถ้าเส้น BC อยูที่ระดับ .382 ของ AB และเส้น CD อยู่ที่ 1.618 ของ extension ของเส้น BC และ BC อยู่ที่ .886 ของเส้น AB เส้น CD ควรจะอยู่ที่ 2.168 ของ Extension BC ตามลาดับ
4. เส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ .886 ของเส้น XA


 รูป แบบ Butterfly (ผีเสื้อ) เปรียบรูปแบบนี้เหมือนกับ โมฮัมหมัด อาลี ถ้าคุณเห็นรูปแบบนี้ คุณก็อาจจะมีโอกาสน็อคคู่ต่อสู้ และได้รางวัลเป็น pip มากมาย!

รูปแบบนี้ค้นพบโดย Bryce Gilmore รูปแบบ Butterfly ที่สมบูรณ์แบบ คือ เส้น AB อยู่ทีระดับ .768 ของเส้น XA และ เส้น Butterfly จะมีลักษณะดังนี้:

1. เส้น AB ควรจะอยู่ที่ระดับ .786 ของเส้น XA
2. เส้น BC ควรจะอยู่ที่ระดับ .382 หรือ .886 ของเส้น AB
3. ถ้าเส้น BC อยู่ที่ระดับ .382 ของเส้น AB ดังนั้น เส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.618 ของ เส้น BC extension และถ้า เส้น BC อยู่ที่ .886 ของเส้น AB ดังนั้นเส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ 2.168 ของเส้น BC extension
4. เส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.27 หรือ 1.618 ของเส้น XA extension

3 ขั้นตอนในการเทรดโดยใช้รูปแบบราคาแบบ Harmonic
สิ่ง ที่คุณได้รู้ จากบทความนี้ เราจะทำกำไรได้จากการเทรดแบบ ฮาร์โมนิค ได้ก็ต่อเมื่อ เราสามารถระบุ การเกิดรูปแบบอย่างสมบูรณ์แบบ และส่งออร์เดอร์เมื่อมันเกิดรูปแบบที่สมบูรณ์แล้ว

มีขั้นตอนพื้นฐาน 3 ขั้นตอน ในการระบุการเกิดของรูปแบบทิศทางราคาแบบ Harmonic
- ขั้นที่ 1 ระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic
- ขั้นที่ 2 ประเมินรูปแบบ Harmonic ว่าอยู่ในระดับใด(Fibonacci)
- ขั้นที่ 3 ส่งออร์เดอร์ Buy หรือ sell หลังจากที่รูปแบบ Harmonic เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว

ตามขั้นตอนดังกล่าว คุณสามารถระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic ที่มีความน่าจะเป็นสูง ในการทำกำไรได้

ขั้นที่ 1: ระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic

 ดู เหมือนรูปแบบ Harmonic ขึ้นมาบ้างรึไม่ และ ณ จุดนี้ เราไม่แน่ใจว่ามันเป็นรูปแบบอะไร มันเหมือนรูปแบบ three drive แต่ว่าอาจจะเป็นรูปแบบ Bat หรือ Crab อีกก็เป็นได้ หรือ อาจจะเป็นกวางมูส ก็ได้

เรามาหาจุดกลับตัว

ขั้นที่ 2: ประเมินรูปแบบ Harmonic ว่าอยู่ในระดับใด (Fibonacci) ใช้เครื่องมือ Fibonacci

1. เส้น BC อยู่ที่ระดับ .618 ของเส้น AB
2. เส้น CD อยู่ที่ระดับ 1.272 extension ของเส้น BC
3. ความยาวของเส้น AB จะมีความยาวใกล้เคียงกับความยาวของเส้น CD

รูปแบบนี้ จะทำให้เกิดรูปแบบ ตลาดกระทิง ABCD ซึ่งเป็นสัญญาณให้เราซื้อ

ขั้นที่ 3: ส่งออร์เดอร์ Buy หรือ sell หลังจากที่รูปแบบ Harmonic เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว


 หลังจากที่ เกิดรูปแบบราคาแล้ว สิ่งที่จะต้องทำ คือ ส่งออร์เดอร์ให้ถูกทาง ไม่ว่าจะเป็น Buy หรือ Sell
ใน กรณีนี้ ควรจะซื้อที่จุด D ซึ่งอยู่ที่ 1.272 ของเส้น Fibonacci extension ของเส้น CB และใส่ stop loss ให้ต่ำกว่าราคาที่ส่งออร์เดอร์เล็กน้อย

ง่ายไปหน่อยไหม ? ไม่อย่างนั้นเสมอไป

ปัญหา ของรูปแบบ Harmonic คือ ยากที่จะระบุจุดที่มันเกิดได้ ยากที่จะระบุประเภทของมันได้ นอกจากคุณ จะเข้าใจขั้นตอนในการวิเคราะห์ต่าง ๆ และ ต้องมีสายตาเฉียบคม ในการระบุการเกิดรูปแบบฮาร์โมนิค และต้องอดทน เพื่อไม่ให้ตัวเองเขาไปในช่วงที่รูปแบบ Harmonic จะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว

ทิศทางราคารูปแบบ Harmonic ทำให้เราบอกได้ว่า จุดไหนที่เทรนด์จะไปต่อ หรือจะเกิดจุดกลับตัว

รูปแบบทิศทางราคาแบบ Harmonic มี 6 แบบ :
- รูปแบบ ABCD
- รูปแบบ Three-Drive
- รูปแบบ Gartley
- รูปแบบ Crab (ปู)
- รูปแบบ Bat (ค้างคาว)
- รูปแบบ Butterfly (ผีเสื้อ)

ขั้นตอนพื้นฐาน ในการระบุการเกิดรูปแบบทิศทางราคาแบบ Harmonic มีดังนี้
- ขั้นที่ 1: ระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic
- ขั้นที่ 2: ประเมินรูปแบบ Harmonic ว่าอยู่ในระดับใด(Fibonacci)
- ขั้นที่ 3: ส่งออร์เดอร์ Buy หรือ sell หลังจากที่รูปแบบ Harmonic เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว

รูป แบบ Harmonic จะมีความสมบูรณ์แบบเพียงใด มันยากในการระบุ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าขั้นตอนพื้นฐานเหล่านี้ คือ คุณต้องมีสายตาที่เฉียบคม ในการระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic และมีความอดทน ในการที่จะไม่เข้าตลาด ก่อนที่รูปแบบHarmonic จะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/harmonic/?/

รูปแบบและการเทรด Gap

รูปแบบและการเทรด Gap


Gap คือช่วงราคาที่ไม่ต่อเนื่องกัน เราจะเห็นว่าราคาเกิดการกระโดดขึ้นหรือลงจนทำให้เกิดช่องว่างขึ้น ซึ่งเกิดจากความไม่สมดุลของแรงซื้อกับแรงขาย ในตลาด Forex เราจะเห็น Gap กันเป็นประจำในช่วงเช้าวันจันทร์ที่ตลาดเปิด สาเหตุเพราะนักลงทุนต้องการซื้อหรือขายทันทีที่ตลาดเปิด หรือ ช่วงที่มีข่าวแรงๆ เมื่อเกิด Gap เราจะเรียก Gap ว่า Windows ซึ่งแนวที่เปิด Gap จะสามารถใช้เป็นแนวรับหรือแนวต้านที่ดีได้ และหากเราเข้าใจถึงชนิดของ Gap ที่เกิดขึ้นก็จะทำกำไรได้เป็นอย่างดี Gap กระโดดขึ้นมักแสดงแนวโน้มขาขึ้น Gap กระโดดลงมักแสดงแนวโน้มขาลง ซึ่ง เราสามารถแบ่ง Gap ออกได้เป็น 4 อย่างดังนี้

1. Common Gap มักเกิดในขณะที่แนวโน้มของราคาเกิดการเคลื่อนตัวไปทางด้านข้าง (Sideways) ในบางครั้งจะเกิดช่องว่างและจะมีการปรับตัวขึ้น-ลงเพื่อปิดช่องว่าง จึงไม่น่าสนใจ เพราะไม่สามารถบอกทิศทางได้


2. Breakaway Gap เป็น Gap ที่เกิดจากการที่ราคามีการวิ่งทะลุ (breakout) ฝ่าแนวรับหรือแนวต้านไปได้หลังจากที่ราคาวิ่งเป็น Sideway พูดได้ว่า เป็นการพุ่งทะลุแนวรับ - แนวต้านหลังจากที่สะสมพลังในช่วง Sideway มาเต็มที่แล้ว อาจเห็นได้ในช่วงที่ราคาวิ่งอยู่ในกรอบสามเหลี่ยมต่างๆ แล้วพุ่งทะลุออกมา มักเกิดจากการที่ตลาดรอข่าว จึงวิ่งเป็น Sideway และเมื่อข่าวออกมา ก็มีแรงซื้อหรือแรงขายเข้ามาแบบถล่มทลาย จึงทำให้ราคากระโดดจนเป็น Gap ถ้าเกิด Gap ในลักษณะนี้ ให้หาจังหวะซื้อหรือขาย ตามทันที (โดยทั่วไปแล้ว เมื่อราคาวิ่งทะลุแนวรับหรือแนวต้าน มักจะวิ่งกลับมาทดสอบที่แนวรับ - แนวต้านนั้นอีกครั้ง หรือที่เราเรียกว่า การ "ปิดแก๊บ"  แต่บางครั้งถ้ามีการซื้อหรือขายที่มีปริมาณมากๆ แบบมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะกระแสข่าวที่ออกมาแรงมากเป็นต้น ราคาก็อาจจำไม่กลับมาทดสอบ แต่มันจะวิ่งไปเลย)


3. Runaway Gap หรือ Measuring Gap เป็น Gap ที่มักเกิดหลังจากเกิด Breakaway Gap  ซึ่งเมื่อเกิด Runaway Gap ขึ้น ก็จะเป็นการยืนยันความแข็งแกร่งของทิศทางราคานั้นๆ แม้ว่าปริมาณการซื้อขายจะอยู่ในระดับปานกลาง ไม่มากนัก แต่ก็คาดได้ว่า ราคาจะวิ่งไปอีกประมาณ 1-2 เท่าตัวเมื่อวัดจาก Breakaway Gap (ตัวอย่างตามภาพ)


4. Exhaustion Gap เป็น Gap  ที่ต้องระวัง เพราะเป็นการกระโดดขึ้นหรือลงเป็นครั้งสุดท้ายของราคา เป็นสัญญาณว่าตลาดเริ่มหมดแรง และจะมีการเปลี่ยนทิศทางในไม่ช้าด้วยปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่นจนทำให้ราคา ที่วิ่งต่อไปมีลักษณะเป็นกลุ่ม จนมีลักษณะเหมือน เกาะกลางทะเล หรือที่เรียกว่า Island reversal ดังนั้นเมื่อเจอ Gap แบบนี้ก็ควรจะเตรียมตัวออกจากออเดอร์ และ เมื่อมีการคอนเฟิร์ม ก็เข้าออเดอร์ในทิศทางใหม่ตามไป ในการพิจารณา Gap ประเภทนี้เราควรพิจารณา Oscillators ต่างๆ ดูการ Overbought  หรือ Oversold ประกอบด้วย เพื่อให้มั่นใจมากขึ้น เพราะExhaustion Gap มักเกิดในช่วงที่ราคาเป็น  Overbought  หรือ Oversold หรืออาจเกิด Divergence ร่วมด้วย


Island Reversal  คือรูปแบบการกลับตัวของราคา โดยมี Gap 2 ชนิดรวมอยู่คือ ครั้งแรกจะเกิด Exhaustion Gap ก่อน อนื่องจากทิศทางเดิมนั้นอ่อนแรงลงแล้ว อาจจะมีการเทซื้อ หรือ ขายทิ้งเป็นครั้งสุดท้าย ทำให้ราคากระโดดไปจนเกิด ช่องว่างของราคาขขึ้น แล้วหลังจากนั้น ก็จะมีการซื้อขายที่หนาแน่นกลับเข้ามา ทำให้ราคาเกาะตัวกันเป็นกลุ่ม และสุดท้าย เกิด Breakaway Gap ขึ้นมาในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับแนวโน้มเดิม ทำให้เราเห็นลักษณะราคา เหมือนเป็น เกาะกลางทะเล จึงเรียกกันว่า Island Reversal

 
 
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่   http://www.thaibestforex.com/forex/gap/?/