วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Chart Pattern รูปแบบซ้อนทับ

Chart Pattern รูปแบบซ้อนทับ


Chart Pattern by Thaiforexschool
รูป แบบกราฟหรือ Pattern นั้น คือรูปแบบของราคาที่เคลื่อนที่อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสามารถใช้ในการคาดการณ์ถึงภาวะราคาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ทั้งนี้รูปแบบกราฟอาจมีรูปแบบที่ต่างๆขึ้นมาก่อนที่จะเป็นรูปแบบใหญ่ที่เรา วิเคราะห์ไว้ตั้งแต่ต้น ซึ่งจะเชื่อมต่อกันหรืออยู่ภายในรูปแบบใหญ่นั้นเอง รูปแบบกราฟเช่นนี้เรียกว่า “รูปแบบซ้อนทับ” รูปแบบซ้อนทับคือ การที่ราคากำลังจะทำ Pattern อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ในขณะที่กำลังทำส่วนประกอบของ Pattern นั้นอยู่ ราคาได้มีการทำ Pattern ซ้อนขึ้นมา ซึ่งทำให้คาดการณ์ถึงภาวะตลาดที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ยากยิ่งขึ้น หรือจะเรียกอีกนัยคือ ราคากำลังทำPattern หลัก ในขณะที่กำลังทำนั้น ราคาได้มีการทำ Patternรอง ซึ่ง Patternรองนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกส่วนของ Patternหลัก เกิดขึ้นมากกว่าหนึ่ง Patternที่เป็น Patternรอง และสามารถเกิดได้ทุกรูปแบบของ Chart Pattern   คือ
1. รูปแบบกลับตัว (Reversal Patterns)
2. รูปแบบต่อเนื่อง (Continuous Patterns)
3. รูปแบบที่เป็นไปได้ทั้งสองทาง (Bilateral Patterns)
จน หลายครั้งทำให้เราไม่แน่ใจถึง Pattern หลักว่าจะเป็นไปตามที่คาดการณ์หรือไม่เพราะPatternรองที่เกิดขึ้นนั้นอาจขัด แย้งกับPatternหลักที่กำลังจะเกิด ทำให้เราพลาดโอกาสในการทำกำไรได้
รูปแบบซ้อนทับนั้นแบ่งออกเป็น3 ลักษณะดังนี้
รูปแบบซ้อนทับขัดแย้ง
รูปแบบซ้อนทับทางเดียวกัน
รูปแบบซ้อนทับผิดทาง

รูปแบบขัดแย้ง เป็นรูปแบบที่ รูปแบบรองนั้นที่เกิดขึ้นนั้น มีการขัดแย้งกับรูปแบบหลัก ยกตัวอย่างเช่น
- รูปแบบหลักกำลังทำ Reversal Patterns แต่รูปแบบรองเป็น Continuous Patterns
- รูปแบบหลักกำลังทำ Continuous Patterns แต่รูปแบบรองเป็น Reversal Patterns
-รูปแบบหลักกำลังทำ Reversal Patterns แต่รูปแบบรองทำ Bilateral Patterns
ซึ่ง จากตัวอย่างจะให้ได้ว่า รูปแบบหลักและรูปแบบรองนั้นมี Chart Pattern ที่ขัดแย้งกัน ทำให้ เราอาจเกิดความไม่แน่ใจถึงแนวโน้มในรูปแบบหลักว่าจะไปตามที่คาดการณ์ไว้ได้ 









รูป แบบซ้อนทับทางเดียวกัน เป็นรูปแบบที่ส่งเสริมรูปแบบหลัก คือทั้งรูปแบบหลักและรูปแบบรองจะ Chart Pattern ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันยกตัวอย่างเช่น  รูปแบบหลักกำลังทำ
-Reversal Patterns รูปแบบรองทำ Reversal Patterns
- รูปแบบหลักกำลังทำ Continuous Patterns รูปแบบรองทำ Continuous Patterns
***หมาย เหตุ รูปแบบซ้อนทับทางเดียวกัน จะไม่มี Chart Pattern  Bilateral Patterns***   เนื่องจาก Bilateral Patternsเป็น Patternที่ไปได้ทั้งสองทาง จึงไม่สามารถบอกได้ชัดแจ้งว่าจะมีพฤติกรรมของราคาที่ส่งเสริมกันหรือไม่ รูปแบบซ้อนทับทางเดียวกันจะยิ่งทำให้เรามั่นใจถึงพฤติกรรมราคาในรูปแบบหลัก มากยิ่งใหญ่






รูป แบบซ้อนทับผิดทางเป็นรูปแบบที่ หลอกตามักเกิดตอนที่ รูปแบบหลักใกล้จะสมบรูณ์ แต่เกิดการทะลุในทิศทางตรงข้ามกับเป้าหมายของรูปแบบหลักก่อนจากนั้นจึงเกิด รูปแบบรองที่ ในลักษณะที่ไปทางเดียวกันกับรูปแบบหลัก รูปแบบซ้อนทับผิดทางมักจะทำให้เราเสียโอกาสในการทำกำไรสูงเพราะ  ดูเหมือนราคาจะไม่สามารถทำรูปแบบหลักได้อีกแต่กลับมีรูปแบบรองเกิดขึ้นและทำ ให้ ราคากลับตัวไปตามทิศทางเป้าหมายของรูปแบบหลัก

การมองรูป แบบซ้อนทับให้ออกนั้น เราต้องอาศัยการมองรูปแบบกราฟเป็นภาพรวม รู้จักการแบ่งกลุ่มราคาที่ทำจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดแล้วแยกรูปแบบออกมาว่ารูป แบบราคาไหนเป็นรูปแบบหลัก รูปแบบรอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วรูปแบบหลักจะเป็นรูปแบบที่ใหญ่กว่ารูปแบบรอง


วิธี การทำกำไรนั้น เมื่อเกิดรูปแบบซ้อนทับเราสามารถทำกำไรได้จากรูปแบบรอง โดยพิจารณาจุดเข้าและจุดออกตามแนวรับแนวต้านจากรูปแบบหลักเมื่อหมดรอบของรูป แบบรองแล้ว ก็มาดูแนวโน้มว่ารูแบบรองที่เกิดขึ้นเสร็จแล้วนั้น ทำให้ราคาจะเป็นไปตามรูปแบบหลักอยู่อีกหรือไม่  ซึ่งต้องอาศัยการดู พฤติกรรมของราคาหรือPrice Action ประกอบจะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดในดียิ่งขึ้น


วิธี การทำกำไรนั้น เมื่อเกิดรูปแบบซ้อนทับเราสามารถทำกำไรได้จากรูปแบบรอง โดยพิจารณาจุดเข้าและจุดออกตามแนวรับแนวต้านจากรูปแบบหลักเมื่อหมดรอบของรูป แบบรองแล้ว ก็มาดูแนวโน้มว่ารูแบบรองที่เกิดขึ้นเสร็จแล้วนั้น ทำให้ราคาจะเป็นไปตามรูปแบบหลักอยู่อีกหรือไม่  ซึ่งต้องอาศัยการดู พฤติกรรมของราคาหรือPrice Action ประกอบจะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดในดียิ่งขึ้น

 ศึกษข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/chart-pattern/?/

การทำ Hedging สำหรับผู้เริ่มต้น


Hedging strategy
hedging strategy หรือ กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยง เป็นกลยุทธ์การเทรดเพื่อป้องกันความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน โดยที่จะเปิดออเดอร์ทั้งสองทาง ( Buy-Sell) ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเทรด EUR/USD คุณเปิดทั้งออเดอร์ Buy และ Sell ไว้อย่างละ 1 ออเดอร์ ออเดอร์ละ 1 lot ดังนั้น ไม่ว่าราคาจะวิ่งไปในทิศทางใด คุณก็จะไม่มีทางได้หรือเสีย ยอดรวมบัญชีของคุณจะความสมดุล หรืออาจกล่าวได้ว่า ความเสี่ยงในการเทรดของคุณเป็น 0
แล้วกลยุทธ์แบบนี้มันน่าสนใจตรงไหนล่ะ ?
ที่ น่าสนใจก็ตรงที่ กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยง หรือ Hedging นี้ถูกนำมาใช้เพื่อปกป้องผลกำไร และใช้ประโยชน์ได้เมื่อเวลาที่ราคามีการปรับตัว


การป้องกันเงินทุน

ถ้า ออเดอร์ที่คุณเปิดมีการป้องกันความเสี่ยง ก็เท่ากับว่าคุณไม่ได้เสี่ยงอะไรเลย แม้ว่าจะมีความผันผวนเกิดขึ้นกับคู่เงินที่คุณเทรด แต่ยอดเงินทุนของคุณก็จะไม่เปลี่ยนไปเลย การป้องกันความเสี่ยงจะถูกนำมาใช้เมื่อมีการเปิดออเดอร์ไปแล้วแล้วเกิดไม่ มั่นใจในทิศทางของราคาในอนาคตขึ้นมา ก็จะใช้การ Hedging เพื่อเป็นการป้องกันผลกำไรที่มีอยู่จากออเดอร์ที่เปิดไว้แล้ว


ตัวอย่างที่ 1

คุณ เปิดออเดอรN Buy ที่ตำแหน่ง 1.3950 หลังจากนั้นราคาได้ขึ้นไปและปิดที่ 1.4000 แต่คุณไม่แน่ใจว่า ราคาจะผ่านแนวต้านที่ระดับนี้ไปได้หรือไม่ (แนวต้านที่ 1.4000)  ดังนั้นคุณจึงป้องกันความเสี่ยง (Hedge) โดยการ Sell เพื่อให้คุณได้รอดูว่าราคาจะผ่านแนวต้านนี้โดยที่ออเดอร์ของคุณยังปลอดภัย นอกจากนี้แล้วยังเป็นการป้องกันผลกำไรของคุณที่มีอยู่ก่อนหน้าในตำแหน่ง Buy ด้วย
สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้

ถ้าราคาวิ่งผ่านแนวต้านที่ 1.4000 ก็เท่ากับว่าได้เสียกำไรที่ควรจะได้จากการเปิดเออเดอร์ Buy ครั้งแรก เพราะตั้งแต่จุดที่ทำการ Hedge ด้วย ออเดอร์ Sell เราจะไม่ได้กำไรเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้คุณได้รับข้อมูลเพิ่มขึ้น นั่นก็คือ ราคาได้ทุผ่าน 1.4000 ขึ้นมาได้แล้ว ทีนี้เราก็สามารถกำหนดวัตถุประสงค์ใหม่ในการเทรดสำหรับออเดอร์แรกที่ Buy ไว้ได้แล้ว ซึ่งคุณอาจจะปิดออเดอร์ที่คุณ Sell ไว้ แล้วปล่อยให้ออเดอร์ Buy ครั้งแรกของคุณทำกำไรต่อไป หรือแม้แต่เลือกที่จะเปิดออเดอร์ Buy เพิ่มนั่นก็แล้วแต่คุณ
อีกกรณีหนึ่งก็คือ ถ้าราคาไม่ทะลุผ่านแนวต้านที่ 1.4000 ขึ้นไป แต่ราคากลับลงไปที่ 1.3950 แต่คุณยังเชื่อว่าราคาจะต้องกลับชึ้นไปในทิศทางเดิม ก็สามารถที่จะปิดออเดอร์ที่ Short ลงมาจาก 1.4000 แล้วเก็บกำไรตรงส่วนนี้เอาไว้ก่อน และยังเก็บออเดอร์ Buy ของคุณเอาไว้ ผลกำไรที่คุณได้จากตรงนี้ก็เท่ากับว่าเป็นกำไรจากการ Buy ครั้งแรกไปจนถึงตำแหน่ง 1.4000 นั่นเอง เท่ากับว่าคุณได้ปกป้องกำไรในส่วนนั้นไว้ และตอนนี้คุณก็จะต้องเผชิญหน้ากับความผันผวนจากความเสี่ยงในออเดอร์ Buy ของคุณอีกครั้งหนึ่ง

ตัวอย่างที่ 2
คุณ Buy EUR/USD ตั้งแต่ 1.3950 และราคาในปัจจุบันคือ 1.4000 แต่กำลังจะมีการประกาศข่าวที่สำคัญของค่าเงิน USD และคุณคาดว่าจะมีความผันผวนที่อาจทำให้ราคาวิ่งไปชนจุด Stop Loss ของคุณได้ คุณจึงจะหาทางที่จะปกป้องผลกำไรของคุณโดยการ Hedge เพื่อป้องกันความเสี่ยงของออเดอร์ของคุณ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถเอา Stop Loss ของคุณออกได้ชั่วคราวในช่วงที่มีความเสี่ยงจากภาวะราคาผัวผวนมากๆจากข่าว และที่นี้คุณก็สามารถืออเดอร์รอดูข่าวได้อย่างไม่ต้องมีความเสี่ยงใดๆ ถ้าข่าวที่ออกมาส่งผลดีกับออเดอร์แรกของคุณ (Buy) คุณก็สามารถปิดออเดอร์ Hedge (Sell) ของคุณได้เพื่อให้ ออเดอร์ Buy ของคุณวิ่งทำกำไรต่อไปในแนวโน้มขาขึ้น

ประโยชน์จากการ Hedge เมื่อราคาปรับตัว
คุณ สามารถใช้ประโยชน์จากการ Hedging ออเดอร์ของคุณ เมื่อราคามีการปรับตัวในราคาวิ่งไปตามแนวโน้ม ซึ่งจะทำให้ผลกำไรของคุณเพิ่มเป็น 2 เท่า คือ คุณจะได้กำไรจากทั้งการ Buy และ Sell และในการใช้กลยุทธ์นี้ในการเทรด คุณควรจะต้องรู้ก่อนว่าจุดกลับตัว หรือจุด Retracement นั้นอยู่ตรงไหน เพื่อที่จะเข้าออเดอร์ได้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น

ตัวอย่าง
คุณ คาดว่า EUR/USD จะวิ่งในทิศทางขาขึ้น คุณจึงเปิด Buy ที่ 1.3950 และเป้าหมาย Take profit ของคุณอยู่ที่ 1.4100 ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 1.4000 และคุณคาดว่าราคาจะลงมาพักตัวที่ระดับ 1.3980 ดังนั้นคุณจึง Hedge ด้วยการ Sell ที่ 1.4000 และคุณ และเมื่อราคาลงมาถึงระดับ 1.3980 คุณก็ปิดออเดอร์ Sell ของคุณ คุณก็จะได้กำไรในส่วนนี้ไปก่อน แต่คุณยังเก็บออเดอร์ Buy ในครั้งแรกของคุณไว้และหวังว่าราคาจะวิ่งไปถึงเป้าหมายของคุณ (1.4100) แต่อย่างไรก็ตาม ที่แน่ๆคุณได้กำไรจากการ Hedge ออเดอร์ Sell ของคุณ กว่า 20 จุดไปเรียบร้อยแล้ว
อันที่จริงในกรณีนี้ แม้ว่าคุณจะไม่ได้เปิดออเดอร์ Hedge แต่ในการเปิดออเดอร์แรกของคุณก็ทำกำไรได้ 30 จุด อยู่แล้ว ( 1.3980-1.3950 = 30 จากการเปิด Buy ในครั้งแรก)
และเมื่อมีการ Hedge กำไรของคุณจะกลายเป็น 50 จุด (1.3980-1.3950 = 30 จากการเปิด Buy ในครั้งแรก และ 1.4000 -1.3980 = 20 ในการเปิด Sell เพื่อ Hedge)
สรุปก็ คือ ถ้ามีการปรับตัวของราคาเกิดขึ้น คุณก็สามารถใช้กลยุทธ์นี้เพื่อทำกำไรได้ แต่ถ้าราคาไม่มีการปรับตัว คุณก็อาจจะสูญเสียกำไรส่วนหนึ่งที่คุณควรจะได้รับไป
ตั้งข้อสังเกตว่า บางโบรคเกอร์ไม่อนุญาตให้คุณให้กลยุทธ์การ Hedging ดังนั้น คุณควรสอบถามกับทาง Broker ก่อนว่าเค้าอนุญาตรึเปล่า 
 
 ศึกษข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/hedging/?/

Time Frame ไหนดีนะที่เหมาะกับเรา?

คุณ dvc11 เข้ามาตั้งกระทู้ว่า เขาอยากรู้จังเลยว่าคนส่วนใหญ่เทรดที่ Time Frame เท่าไหร่กันบ้าง และ ทำไมถึงเทรดที่ Time Frame นั้น ไม่ว่าจะเป็น 1 นาที 2 นาที 5 นาที 15 นาที 20 นาที 30 นาที 1 ชั่วโมง 4 ชั่วโมง แบบรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน อะไรก็ได้ รับฟังหมด (ปล.บางโบรกเกอร์ที่ไม่ได้ใช้ Platform ของ MT4 อาจจะมี 2 นาที 10 นาที 2 ชั่วโมงให้เลือกดูได้ครับซึ่ง MT4 ปกติจะไม่มี)


ใน ช่วงแรกของกระทู้นี้มีคนเข้ามาเถียงกันนิดหน่อยระหว่างคุณ The redlion กับ Scotty B ซึ่งผมมองว่าไม่ได้มีสาระอะไรมากเลยขอข้ามช่วงแรกไปนะครับ ถ้าใครสนใจว่าเค้าเถียง
อะไรก็ตามไปอ่านที่กระทู้จริงได้

คุณ Ipndasno เข้ามาตอบว่า มันขึ้นอยู่กับคุณว่าคุณอยากเห็น “ความละเอียด” ของราคามากแค่ไหน แต่สำหรับเขาแล้วเขาให้ความสนใจกับ “ระยะของแท่งเทียนจากจุดสูงสุดของแท่งถึงจุดต่ำสุดของแท่งเทียน” มากกว่า เพราะมันคือแนวรับแนวต้านดี ๆ นี่เอง


คุณ Rob Mondave เข้ามาตอบว่าสำหรับเขาแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองเหมาะกับ Daily Time Frame มากกว่าสำหรับ Forex และ Time Frame อื่น ๆ ในหุ้นตัวอื่น (เหมือนเค้าจะเทรดS&P500 Futures ด้วย) เพราะเขาชอบเทรดแบบยาว ๆ มากกว่า


คุณ deltatrade บอกว่า เขาชอบเทรดที่ Time Frame 2 ชั่วโมง (2H) ด้วยเรื่องของ Spread และความยืดหยุ่นของราคาจะต่ำมากพอจนเขารู้สึกว่าได้เปรียบ เพราะเขาเทรดตั้ง
10 คู่แหนะ


คุณ babwilliams เข้ามาพูดว่า พวกสถาบันการเงินใหญ่ ๆ มักจะเทรดใน Time Frame ใหญ่ ๆ อย่าง Daily ขึ้นไปด้วยเหตุผลที่ว่าพวกเขามีกำลังซื้อขายในตลาดสูงมาก เขาจึงไม่
จำเป็นต้องมาสนใจใน Time Frame เล็ก ๆ นั่นเอง
คุณ Vmpwraith เข้ามาให้ความเห็นว่า เขาดูอยู่ 4 Time Frame นะคือ 15M 1H 4H และ Daily เขาจะเทรดจาก Time Frame 15M เพราะเขารู้สึกว่า Time Frame นี้โอเคส
ำหรับเขา เขาสามารถใช้ 15M ในการยืนยันเรื่องของเทรนได้ด้วย


คุณ Pipwrangler เสนอวิธีเทรดของเขาว่า อย่างเขาเนี่ยชอบดู Time Frame ใหญ่ ๆ อย่าง 1H ขึ้นไปเลยนะเพราะมันใช้วิเคราะห์แนวโน้มได้ดี แต่เวลาเข้าเขาจะมาเข้าใน Time
Frame 30M 15M หรือแม้กระทั่ง 5M เมื่อเค้าเห็นว่าราคาเป็นเทรนยาว ๆ เค้าจะไปดูราคาใน 4H หากราคาเป็นสวิงนิด ๆ เขาก็จะมาดูใน 1H วิธีคิดง่าย ๆ สำหรับเขาคือ เขาเทรดใน
Time Frame ที่เขามองว่าอ่านง่ายที่สุด ณ ขณะนั้น

คุณ forexpoor บอกว่า Time Frame ใหญ่ ๆ เหมาะสำหรับคนที่ใจเย็นและคนที่ไม่มีเวลาเฝ้าอยู่หน้าจอ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะลองเทรดทั้ง Time Frame ที่เล็ก ๆ หรือใหญ่ก็ดีนะ
และหา Time Frame ที่เหมาะสมกับคุณน่าจะเป็นอะไรที่ดีที่สุด
คุณ The Saint ตอบว่า ส่วนตัวแล้วเขาชอบเทรดในช่วงที่ตลาดปิดแท่งของวัน (Daily Time Frame) และเทรดใน Time Frame เล็ก ๆ ในแต่ละวันด้วย เขามักจะชอบดูราคาตอน
ปิดแท่ง Daily และชอบมาหาสัญญาณเข้าในกราฟ 1H แต่วันไหนที่กราฟเป็นสวิงเยอะ ๆ เขาก็จะมาหาจุดเข้าในกราฟ 1H 15M หรือ 5M ขึ้นอยู่กับสภาพของตลาด ณ ขณะนั้น


คุณ Sywa ให้ความเห็นว่า อย่างของเขาเนี่ยต้อง Time Frame 30 นาทีเลยโอเคที่สุดสำหรับเขา ถามว่าทำไมนะหรอ? เขาคิดว่า Time Frame ที่เล็กกว่านั้นมันหลอกตาเขามากเกิน
ไปและ 1H ก็ดูจะนานเกินไปสำหรับเขา ดังนั้น 30 นาทีนี่ละ เจ๋งที่สุดแล้ว

คุณ hedging เสนอว่า อย่างของเขาเนี่ย เขาชอบเทรดสวิงใน Time Frame daily นะ ถึงแม้ว่าโอกาสเข้าจะได้แค่ 6-8 ครั้งต่อเดือน แต่เวลาปล่อยยาวทีก็สามารถทำได้ถึง 400-
500 pips สบาย ๆ ถึงแม้จะโดนลากหน่อยแต่อย่างน้อยสุดก็ได้ 80-120 pips กลับมาแน่นอน (โบรกเกอร์ 4 ตำแหน่งนะครับที่เขาพูดถึง)


คุณ Slow Burn ช่วยตอบว่า เขาเทรดใน 1H นะเพราะชอบมี False Breakout ให้เขาเห็นและเข้าตามได้บ่อย ๆ แต่ถ้าวันไหนตลาดสวิงเยอะ ๆ เขาก็จะลงมาดูกราฟที่ 15 นาที


คุณ Vitez บอกว่า เขาใช้แค่ 2 Time Frames เองคือ 1H กับ Daily เพราะเขากลัวว่าตัวเองจะวิเคราะห์มากเกินไปใน Time Frame เล็ก ๆ หากวันไหนไม่พอใจกับกราฟ daily ก็
จะลงมาดู 1H น้อยครั้งที่เขาจะมาดู 15M บ้างยกเว้นเวลา Strong Move Breakout แรง ๆ นะ


จาก บทความนี้เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเทรดเดอร์แต่ละคนมีการเลือกใช้ Time Frame ที่ต่างกันออกไปตามวิธีการเทรดและนิสัยของแต่ละคน การเลือก Time Frame ในการ
เทรดให้เหมาะสมกับตัวเองส่วนตัวแล้ว ต้องใช้เวลาหน่อยนะครับกว่าเราจะเจอ Time Frame ที่ถูกใจ เพราะในช่วงแรก ๆ ของการเริ่มเทรด จะมีสิ่งล่อตาล่อใจมากมายให้ผู้เทรดหน้า
ใหม่ได้ลองเล่น ซึ่งของเล่นเหล่านั้นก็จะมีกติกาหรือวิธีการเล่นซึ่งรวมไปถึง Time Frame ที่ต่างกันออกไปด้วย ทำให้ผู้เทรดไม่แน่ใจว่าที่จริงแล้วตัวเองชอบ Time Frame ไหนกันแน่

วิธีการเลือก Time Frame ของผมคือให้คุณลองสังเกตตัวเองก่อนเลยว่า ตัวเองนิสัยยังไง ใจร้อน ใจเย็น รอลากได้ไหม หรือ สวิงเดียวก็หนีแล้ว เมื่อเราเข้าใจตัวเองแล้วก็ต้องดูเวลา
ของ คุณด้วยว่า คุณมีเวลาอยู่กับกราฟนานแค่ไหน ถ้าคุณเป็นคนทำงานไปด้วยเทรดไปด้วย Time Frame  สูง ๆ ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว หรือ ถ้าคุณเฟี๊ยวชอบความเสี่ยง ชอบความ
รวด เร็ว การเทรดใน Time Frame  เล็ก ๆ อาจจะเป็นคำตอบของคุณ เท่านี้เราก็จะสามารถเลือก Time Frame ที่เหมาะสมได้ครับ อย่างผมเองก็เปลี่ยน Time Frame มาเยอะ
เหมือนกัน มีช่วงหนึ่งตอนที่กำลังเรียนมหาลัยอยู่ช่วงนั้นผมก็เทรด Time Frame ใหญ่ ๆ ก็สบายดีนะครับ 4H ค่อยดูกราฟทีนึง สามารถกะได้เลยว่าอีก 4H ข้างหน้าต้องดูกราฟหรือไม่
ต้องดูกราฟ แต่ก็ทำใจรับกับการลากยาว ๆ ของ 4H ไม่ได้

ปัจจุบัน ผมใช้อยู่ทั้งหมด 3 Time Frames คือ 5M, 1H, Daily โดย Daily เอาไว้ดูภาพรวมของเมื่อวานว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ปิดเป็นแท่งเทียนหน้าตายังไง ที่สำคัญคือสามารถใช้ จุด
สูงสุดของแท่งและจุดปิดของแท่งในการหาโซนเทรด ด้วย หลังจากนั้นก็มาดู 1H เพื่อดูว่าน่าจะไปทางไหน เมื่อเลือกทางแล้วก็จะมาหาจุดเข้าใน 5M ครับ แบบนี้เป็นต้น 
 
 ศึกษข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/time-frame/?/

นักเทรดแบบ Price Action

นิสัยของนักเทรดแบบ Price Action ที่ประสบความสำเร็จ
นิสัยและตารางประจำวัน ของนักเทรดแบบ Price Action ที่ประสบผลสำเร็จ

การ เทรดที่ประสบความสำเร็จ เป็นผลมาจาก การมีวินัย และการมีตาราง ที่เซ็ตไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นส่วนประกอบ ของนักเทรดฟอร์เร็กซ์ที่มีวินัย เราอาจจะเผลอ ไม่ทำตามกฏได้ง่ายมาก และ ทำให้ใช้อารมณ์มาติดสินใจ จนทำให้ เกิดความผิดพลาด ในฐานะเทรดเดอร์ คุณต้องหยุดเหตุการณ์เหล่านี้ให้ได้ โดยการเซ็ตตารางประจำวัน ที่คุณต้อง ปฏิบัติตามทุกวัน ตารางประจำวันจะช่วยเพิ่มความมีวินัย และทำให้คุณรักษาวินัยในการเทรด ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง มีความสำคัญ ต่อการพัฒนาจิตใจของคุณ และนำไปสู่กำไรระยะยาว อย่างแท้จริง ถ้าคุณยังไม่ได้เซ็ตตารางประจำวัน ที่ใช้ในการเทรด คุณต้องเริ่มพัฒนาขึ้นมาซักชุดหนึ่ง แล้วตลาดจะไม่สามารถ ทำอันตรายกับบัญชีเทรดคุณได้ ยิ่งคุณสามารถทำตามตารางการเทรดได้ตามจุดประสงค์ ที่สัมพันธ์กับตลาด คุณก็จะเผชิญกับ การใช้อารมณ์ในการเทรด น้อยลงเท่านั้น

• กำหนดเวลาดูหน้าจอที่แน่นอนในแต่ละวัน
หน้าที่ อย่างแรก ในแต่ละวันของนักเทรดแบบ Price Action คือ ต้องรู้ว่า เมื่อไหร่คุณ ควรจะวิเคราะห์ตลาด คุณต้องใส่ใจกับงาน และ หน้าที่การงาน งานประจำของคุณ เช่นเดียวงานประจำในครอบครัว ถ้าคุณพบว่า เวลาที่คุณมี พอที่จะดูหน้าจอได้ นั่นก็คือ เวลาก่อนนอน คุณก็สมควรจะใช้เวลานั้น ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ ที่เรา ควรใช้ดูตลาด ก็คือ ราว 4 - 5 โมงเย็น (หมายถึงเวลา สหรัฐฯ) ซึ่งเป็นเวลาเปิดของตลาดยุโรป ตอนนี้ คุณจะ อยู่ถึงตีหนึ่ง - ตีสองก็ไม่มีใครว่า แต่คุณต้องวิเคราะห์ตลาด ในเวลานี้ทุกวัน

เมื่อเลือกแล้วว่า ช่วงเวลาไหนที่คุณสามารถใช้เวลาดูกราฟได้ ควรจะเลือกว่า คุณต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ในการ วิเคราะห์ ในการเทรดแบบ Price action หรือ ใช้ในการดูว่า ออร์เดอร์ที่คุณเปิดก่อนหน้า เป็นอย่างไร การกำหนด เวลา ในการเฝ้าดูหน้าจอ มีส่วนสำคัญมากในการฝึกใจ และ ความสำเร็จในการเทรด เทรดใน Time Frame daily ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีความกดดันมากนัก และ เป็น Time Frame ที่ได้ผลดีด้วย เมื่อคุณเริ่มมีทักษะในการเทรด แบบ price action คุณก็สามารถดูคู่เงินแต่ละคู่ ที่เทรดในช่วงเวลาที่กำหนดได้ ถ้าหากว่าคู่ที่คุณกำลังดูอยู่ ไม่มี การเกิดรูปแบบที่คุณตั้งไว้ คุณก็ไปเทรดคู่อื่น ๆ ถ้าคุณไม่เจอรูปแบบที่คุณอยากจะเทรด ก็ไม่ควรจะเทรดในวันนั้น เพราะ ถ้าขืนคุณยังดื้อดึง คุณจะเจ็บตัว และไม่ประสบความสำเร็จในฐานะนักเทรดในระยะยาว เพราะคุณจะเริ่ม วิเคราะห์มากเกินไป แล้วพยายามหาเหตุผลในการเทรดตลอดเวลา คุณจะรู้ว่ามันจะทำให้เสียเงินได้

• ทำตามแผนการเทรดแบบ Price Action
ถ้า คุณคือ นักเทรดแบบ Price Action คุณจะรู้ว่า คุณกำลังมองหารูปแบบกราฟแบบไหนอยู่แต่ละวันในตลาด เมื่อคุณรู้ ก็ควรจะเขียนลงไป และกำหนดแผนการเทรดที่คุณกำลังจะเข้าเทรดในแต่ละวันกับเวลาที่คุณมี ถ้าไม่สามารถกำหนดแผนที่เป็นตัวตน คุณควรจะรีบวางแผนอะไรไว้ได้แล้ว ท่องในใจตลอดว่า ต้องทำตามแผน การเทรดทุกวัน อ่านทุกวัน แผนการที่ชัดเจนควรจะมี จุดเข้า จุดออก กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง และมีเป้าหมาย ระยะยาว ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญ ในแผนการเทรดที่ควรมีไว้เป็นอย่างน้อย

ตามเป้าหมายของแผนการเทรดของ คุณ ทำให้คุณทำตามแผนได้อย่างแน่นอนในแต่ละวัน ช่วยให้มีสมาธิ ยังเป็น แนวทางในแต่ละวันให้คุณในการวิเคราะห์ตลาด การวิเคราะห์ตลาดจะต้องเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งนักเทรดส่วนใหญ่ ไม่มีขั้นตอนในการวิเคราะห์ หรือ ไม่มีตาราง ซึ่งจะนำไปสู่การเทรดแบบไม่มีแบบแผน แล้วคุณจะสามารถเป็น นักเทรดที่มีวินัย และวิเคราะห์เป็นขั้นเป็นตอนได้อย่างไร? ถ้าคุณไม่มี แม้กระทั่งแผนการว่า คุณกำลังทำอะไรอยู่ พวกวิศวะกรสร้างบ้านโดยไม่มีพิมพ์เขียวหรือ? ไม่ แน่นอน มันจะพังทลาย และไม่แข็งแรง และแน่นอน ทุก ๆ คนที่พยายาม อยากจะเป็นนักเทรดฟอร์เร็กซ์มืออาชีพ ถึงรู้สึกว่าแผนการเทรดนั้น สำคัญขนาดไหน การกระทำต่าง ๆ ในลักษณะนิสัยที่เป็นขั้นเป็นตอน กับตลาดที่ไม่สามารถควบคุมได้ อย่างตลาดฟอร์เร็กซ์นั้น เป็นหัวใจ ในการทำกำไร ไม่มีพื้นที่สาหรับคำว่าโชค ในหน้าพจนานุกรมการเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จระยะยาว และ การเป็นนักเทรดมืออาชีพ ก็ไม่ต้องอาศัยโชค เพราะว่าสิ่งที่เราต้องมี คือ แผนการเทรด

• บันทึกการเทรด
การบันทึกการเทรด นั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง ที่คุณอาจจะไม่เคยคิดถึงมันเลย ในหนังสือที่สอนเกี่ยวกับการเทรด หลาย ๆ เล่ม มักจะพูดถึงการบันทึกการเทรด และกล่าวว่า คุณควรจะเขียน แม้กระทั่งว่าคุณใช้ค่าอะไรบ้าง ในการเทรด เพื่อที่จะวิเคราะห์ได้ว่า ทำไมคุณถึงผิด ทำไมคุณถึงถูก และขณะที่กำลังบันทึกข้อมูลเหล่านี้ ผมรู้สึกว่า ผมลืมอะไรไปอย่าง การประสบความสำเร็จในการเทรดนั้นขึ้นอยู่กับว่า จัดการกับอารมณ์ของคุณได้ดีขนาดไหน คุณค่าที่แท้จริงของการทำบันทึกประจาวัน ที่ให้คุณได้คือ การประเมินว่า คุณรู้สึกอย่างไรในแต่ละวันที่คุณเทรด เกี่ยวกับกิจกรรมการเทรดของคุณ และยังเป็นแบบประเมินสถานะอารมณ่ของคุณ แต่ละวันด้วย

เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ที่คุณจะต้องเขียนว่า คุณรู้สึกอย่างไรก่อนการเทรด และ หลังการเทรด เขียนลงไปด้วย ถ้าคุณกำไรแล้วคุณรู้สึกอย่างไร คุณขาดทุนแล้วคุณรู้สึกอย่างไร สิ่งนี้จะให้คุณสองอย่าง คือ มันจะช่วยให้คุณ ทำทุกอย่าง ไปในทิศทางที่ถูกต้อง หลังจากที่คุณปิดออร์เดอร์ไปแล้ว ซึ่งมันจะทำให้คุณมีจิตใจนิ่งมากยิ่งขึ้น จากการที่คุณได้กำไร หรือ ขาดทุนก้อนใหญ่ และยังป้องกันไม่ให้คุณกระโดดเข้าไปในตลาด โดยทันทีด้วย และนอกจากนี้ มันจะทำให้คุณมองภาพออกว่า อารมณ์นั้นผูกติดอยู่กับความสำเร็จในการเทรดได้อย่างไร ถ้าคุณ ซื่อสัตย์ในการเขียนบันทึก คุณจะเริ่มเห็นว่า ยิ่งคุณใช้อารมณ์ในการเทรด ยิ่งจะทำให้คุณเสียเงินมากขึ้น มันเป็น ความแปรผันกัน ระหว่างอารมณ์กับเงิน ในการเทรดฟอร์เร็กซ์ ของคุณ

สิ่งอื่น ๆ ที่ควรจะบันทึกในบันทึกการเทรดของคุณอีกก็คือ คุณสามารถเขียน (หรือพิมพ์) สรุปภาวะตลาดประจำวัน ซึ่งนี่จะทำให้คุณเข้าใจสภาวะตลาด สภาวะเศรษฐกิจ หรือ ข่าวที่ออกมา และทำให้คุณระวังในสิ่งที่จะเกิด ในตลาด มากขึ้น มันจะช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาในแต่ละวัน และยังทำให้มอง ภาพรวมตลาดออก ถ้าคุณต้องทำธุระ และไม่ได้เทรด ซักหนึ่งสัปดาห์ เมื่อคุณกลับาแล้วอย่ารีบเทรดทันที ให้คุณทำการบันทึกสรุป สภาวะตลาด ไปซักหนึ่งอาทิตย์เสียก่อน แล้วคุณจะเข้าใจและรู้สึกถึง กระแสน้ำ และกระแสการไหลของราคา เพราะการเข้าใจทิศทางของราคา มีความสำคัญมาก

• ทำจิตใจ และร่างกายให้สะอาด ดีกว่าเอาเวลาไปนั่งเฝ้าหน้าจอเพิ่ม
อย่าง ที่ได้เกริ่นมาก่อนหน้า การใช้เวลาในการวิเคราะห์ตลาดมากเกินไป จะทำให้คุณมีผลตรงกันข้าม ถ้าคุณพบว่า มีเวลาว่าง และอยากจะใช้เวลาเหล่านั้นในการดูกราฟ คิดว่าคุณควรจะใช้ทำงานอดิเรกดีกว่า การออกกำลังกาย จะช่วยให้คุณ ทำตามตารางชีวิตประจำวันของคุณได้ และมันจะทำให้คุณรู้สึกดีทั้งจิตใจ ทั้งร่างกายอีกด้วย การใช้เวลาในการออกกำลังกายนั้น ย่อมดีกว่า การใช้เวลาเพิ่มในการวิเคราะห์ตลาด คุณจะสามารถควบคุมตัวเอง ได้ ไม่ใช่ให้ตลาดมาควบคุมคุณ ถ้าคุณยังมีเวลาเหลือจากการออกกำลังกาย ก็ให้คุณอ่านหนังสือ เพื่อช่วยเปิด โลกทัศน์ มันไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเทรดเสมอไป คุณสามารถอ่านอะไรก็ได้ ที่ช่วยออกกำลัง สมอง ของคุณ และทำให้สมองตอบสนองได้ดี จำไว้ว่า ตารางประจาวันของคุณ เป็นกุญแจไปสู่ความสำเร็จ ระยะยาวในตลาด อย่าดูถูกมัน การเทรดฟอร์เร็กซ์ เป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง และ คุณก็ควรทำเหมือนกับ การประกอบ ธุรกิจ เช่นกัน ภายใต้ตารางที่แน่นอน และ เคร่งครัด ไม่แตกต่างกัน กับการเทรดฟอร์เร็กซ์

 ศึกษข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/price-action/?/

อะไรทำร้ายพอร์ตการลงทุนของคุณ?

อคติในการลงทุนและผลลัพธ์

อคติ ก็คือความลำเอียง ดังนั้น อคติในการลงทุนก็คือ "ความลำเอียงในการลงทุน" และเจ้าอคตินี่มันก็จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการลงทุนของนักลงทุน โดยทำให้การตัดสินใจในการลงทุนเป็นแบบไม่ตรงไปตรงมา เพราะว่า "ฉันรู้สึกแบบนี้ และฉันคิดว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้" สุดท้ายผลจากการตัดสินใจต่างๆเหล่านั้น ก็จะย้อนกลับมาที่พอร์ตการลงทุนของเราเอง ซึ่ง ผลกระทบที่ว่านี้ มักจะส่งผลร้ายมากกว่าผลดีซะเป็นส่วนใหญ่ คุณว่าจริงมั้ย?
ทีนี้เราลองมาดูว่า อคติในการลงทุนที่ว่านี้มันมีอยู่กี่แบบ และลองเช็คตัวคุณเองว่า คุณมีอคติแบบไหนอยู่บ้าง

1. Loss Aversion คือ ความเกลียดชังการสูญเสีย นั่นคือ การที่เราต้องการที่จะหลีกเลี่ยงความสูญเสีย และแสวงหากำไร ในการศึกษาบางอย่างชี้ให้เห็นว่า การสูญเสียนั้นมีพลังเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับการทำกำไร ผลของมันก็คือ เมื่อเรากลัวที่จะสูญเสีย เราก็จะให้ความสำคัญกับการขาดทุนมากมากกว่าการหากำไร (ก็ฉันไม่อยากเสียเงินนี้ไป) ตัวอย่างเช่น ถ้ากำไร 10 บาท กับ ขาดทุน 10 บาท ก็มีผลเท่ากัน แต่คนจะกลัวขาดทุน 10 บาทมากกว่ากลัวไม่ได้กำไร 10 บาท (แน่นอนบางคนอาจจะกลัวขาดทุนแค่ 5 บาท เมื่อเทียบกับโอกาสกำไร 15 บาท)

2. Risk Aversion คือ ความเกลียดชังความเสี่ยง เจ้าสิ่งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากเจ้า Loss Aversion ซึ่งแน่นอน เมื่อคนเกิดความกลัวที่จะเสียเงิน ก็ต้องกลัวความเสี่ยงเป็นธรรมดา Risk Aversion เกิดขึ้นในภาวะที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน ก็จะพยายามลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน เป็นถาวะที่นักลงทุนเต็มใจที่จะยอมรับผลตอบแทนที่ไม่แน่นนอน หรือน้อยกว่าแต่ปลอดภัยกว่า ดีกว่าจะยอมเสี่ยงกับการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า แต่อาจจะต่ำกว่าที่คาดไว้ และมีความเสี่ยง ยกตัวอย่างเช่น นักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยง อาจนำเงินลงทุนไปฝากธนาคารเพื่อกินดอกเบี้ยเงินฝากที่ให้ค่าตอบแทนต่ำแต่ ปลอดภัย แทนที่จะนำมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้ เป็นต้น (ตัวอย่างที่เราเห็นได้ในปัจจุบันที่ตลาดถูกครอบงำด้วย Risk Aversion คือ ตลาดหุ้นตกกันทั่วโลก เพราะนักลงทุน แห่กันเทขายหนีความเสี่ยงออกจากตลาด)

3. Sunk cost effect นั่นคือ ผลกระทบจากการยึดติดกับเงินที่ลงทุนไปแล้ว มากกว่าเงินที่จะต้องเสียในอนาคต และสุดท้ายก็ส่งผลกระทบกลับมาที่นักลงทุน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อนักลงทุนดูกราฟ EUR/USD แล้วคาดว่ามันจะลง ก็เซลไว้ แต่ราคาก็ไม่ลดลง แต่กลับขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงแนวต้านอีกแนวนึงก็เซลเพิ่มไปอีกแทนที่จะตัดขาดทุนตั้งแต่ที่รู้ว่า ตัดสินใจผิดครั้งแรกยอมขาดทุนน้อยๆ แต่กลับยอมให้พอร์ตขาดทุนเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น เพราะ "เสียดาย" เงินที่ลงทุนไปแล้ว ไม่อยากเสียเงินทุนแม้จะรู้ว่าตนเองตัดสินใจผิดพลาด นักลงทุนที่อยู่ในภาวะนี้มักชอบ "หลอกตัวเอง" ว่า เดี๋ยวมันจะต้องเป็นไปตามที่ฉันคิดแน่ๆ และผลสุดท้ายความเสียหายก็มากขึ้น บางทีอาจเลวร้ายขนาด ล้างพอร์ตกันเลยก็เห็นอยู่บ่อยสำหรับตลาด Forex

4. Disposition effect
คือ ผลกระทบจากการจัดการของนักลงทุน ที่มักจะตัดสินใจปิดออเดอร์ซื้อขายเมื่อมีกำไรแล้ว แต่จะไม่ยอมปิดเมื่อยังขาดทุนอยู่ รู้ว่าถือไว้แล้วมันติดลบ แต่ก็ถือไปเรื่อยๆ (ฉันจะรอวันฟ้าเป็นใจ ได้กำไรแล้วค่อยปิด) นักลงทุนที่จะทำแบบนี้ได้ จะต้องอึดทั้งพอร์ตอึดทั้งคน ถ้าคุณไม่อึดพอไม่มีการวางแผนรองรับที่ดีก็จงอย่าทนถือออเดอร์ติดลบนานๆเลย จะดีกว่า

5. Outcome bias หมายถึง อคติที่เรามีแนวโน้มที่จะตัดสินอะไรจากผลที่ออกมามากกว่า ตัดสินใจจากเหตุผลที่มีอยู่ เช่น เราเทรดตามการวิเคราะห์จากเหตุผลของราคาอาจจะทั้งทางเทคนิคอล หรือดูจากพื้นฐานด้วยก็ตาม การเทรดของเราก็ทำกำไรได้เรื่อยๆ แต่ไม่ได้มากมายเป็นก้อนใหญ่ วันหนึ่ง มี "พลายกระซิบ" มาบอกว่าคู่เงินนั้นจะเป็นแบบนี้นะ ให้ตาม เราทำตามและได้กำไรมหาศาล และเมื่อเราทำตามไปซัก 2-3 ครั้ง เราก็มีแนวโน้มที่จะเริ่มไม่เชื่อการวิเคราะห์ที่ถูกต้องของตนเอง แต่หันไปเล่นหุ้นพรายกระซิบแทน ผลที่ตามมาก็คือ ระเบียบวินัยการลงทุนของเราก็จะหายไป และเมื่อไหร่ พลายกระซิบนี้เริ่มทำงานไม่ดี เราก็จะไปตามหา พลายกระซิบใหม่ไปเรื่อยๆ

6. Recency bias คือ คนเรามีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องที่เกิดขึ้นล่าสุด มากกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้า เช่น การขาดทุนที่เพิ่งเกิดวันนี้ ทำให้เราเจ็บปวดมากกว่าการขาดทุนที่เกิดขึ้นปีก่อน แม้ว่าความเสียหายจาการขาดทุนในวันนี้จะเทียบไม่ได้เลยกับเมื่อปีก่อนก็ตาม

7. Anchoring อันนี้สำคัญทีเดียว คือ แนวโน้มที่บอกว่าเรามีแนวโน้มที่จะเชื่อในข้อมูลที่มีอยู่ให้เห็นตรงหน้า มากกว่าข้อมูลที่เราไม่เห็น ซึ่งอาจทำให้เราประเมินภาพผิดไปจากความจริงมากมาย เพราะทำให้เราเชื่อมั่นเกินเหตุกับข้อมูลที่มีอยู่ (อาจจะแค่ 30% ก็ได้ แต่เราไม่รู้ว่ายังมีข้อมูลอีก 70% ที่อาจทำให้เราต้องไปคิดใหม่เลยทีเดียว) อย่าง เช่น การดูข่าวในตลาด Forex ทุกวันนี้  เมื่อเวลามีการประกาศตัวเลขดัชนีต่างๆ เราเห็นตัวเลขดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจออกมาดี ค่าเงินสกุลนั้นจากที่อ่อนแอ ก็พุ่งพรวดไปชั่วครู่ แล้วร่วงลงมาตามเดิม ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า แม้ว่าดัชนีตัวนี้จะดีแต่ก็ยังคงเป็นแค่ส่วนเดียวของเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีตัวนี้ดี แต่ตัวอื่นๆส่วนใหญ่อาจจะย่ำแย่อยู่ก็ได้ ถ้าเศรษฐกิจจะดีจริง ดัชนีโดยรวมส่วนใหญ่ควรออกมามีความสอดคล้องกันไปในทิศทางที่ดีด้วย

8. Bandwagon effect หมายถึง แนวโน้มที่เราจะคล้อยตามคนหมู่มาก ซึ่งอาจจะไม่ต้องถูกเสมอไป ดังนั้น การจะเชื่ออะไรก็ควรจะพิจารณาถึงเหตุผลด้วย ก่อนที่จะเชื่อตามคนอื่น เพราะการที่มีคนเชื่อแบบเดียวกันมากๆ ก็ใช่ว่าความคิดนั้นจะถูกเสมอไป

9. Belief in the law of small numbers คือ การที่ผู้คนใช้ข้อสรุปผิดๆ จากจำนวนตัวอย่างที่น้อยเกินกว่าที่จะมาทำข้อสรุปได้จริงๆ เช่น ในการเทรดคู่เงิน EUR/USD ถ้าเพื่อนเราที่เป็นเทรดเดอร์ด้วยกัน 10 คน มี 7 คนที่ซื้อ และ 3 คนที่ขาย ถ้าคนที่เทรดคู่เงิน EUR/USD มีเพียงแค่เราและเพื่อน 10 คนก็คงง่ายที่จะสรุปได้ว่า ราคา EUR เทียบ USD ต้องขึ้นแน่นอน เพราะคนต้องการซื้อมากกว่าคนต้องการขาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในตลาดมีผู้คนมากมายมหาศาลที่ซื้อขายคู่เงินนี้ ดังนั้น อย่าด่วนสรุปอะไรจากคนรอบตัวเราเพียงไม่กี่คน


ที่ นี้ลองทบทวนตัวเองดูว่าคุณเป็นนักลงทุนที่มีอคติแบบไหนอยู่บ้าง ควรจะแก้ไขตรงไหน ป้องกันอย่างไร เพื่อให้พอร์ตการลงทุนของคุณปลอดภัยจากอคติในใจของคุณเอง
 
ศึกษข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t475/?/

ทำไมนักลงทุนถึงจำเป็นต้องเรียนรู้ การวิเคราะห์ทางเทคนิค

Why do people have to learn Technical chart. ทำไมนักลงทุนถึงจำเป็นต้องเรียนรู้ การวิเคราะห์ทางเทคนิคหากคุณเชื่อว่า


- หากคุณเชื่อในกฎของอุปสงค์อุปทาน   Demand and Supply
- หากคุณเชื่อว่าคนเราส่วนใหญ่มักซื้อด้วยอารมณ์เพราะความต้องการซื้อ มากกว่าการซื้อด้วยเหตุผลเพราะราคาถูก
- หากคุณเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่าง จะมีวงจรชีวิตหรือวัฏจักร
- หากคุณเชื่อว่าในตลาดมักมีคนรู้ข้อมูลภายในก่อนคนอื่นเสมอ
- หากคุณต้องการเพิ่มมุมมอง สำหรับการตัดสินใจในการลงทุน
- หากคุณไม่รู้ว่า P/E และ P/B เท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าถูก หรือแพง เพราะในอดีตจะเห็นว่า ค่า Price to Earning ของหุ้นแต่ละตัว ตลาดหุ้นแต่ละตลาด ยังมิได้อยู่นิ่งอยู่กับที่ หรือมึค่าเท่ากันทุกตลาดเลย

ซึ่ง สรุปได้ว่า ณ ช่วงเวลาต่างกันในหุ้นตัวเดียวกัน มูลค่ายังมิเท่ากัน เหตุเพราะความต้องการไม่เท่ากันต่างหากที่ทำให้ราคาเปลี่ยนแปลง ดังนั้นหากเรากำหนดสิ่งต่างๆ ว่าถูกหรือแพง โดยการใช้ค่า Price to earning หรือ Price to Book value เพียงอย่างเดียวนั้นคงจะไม่ถูกต้อง มิเช่นนั้นแล้วอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา อัตราเงินเฟ้อ หรือราคาน้ำมัน คงจะคงที่เหมือนกันหมด

คนซื้อหุ้นเพราะเกิดจาก อารมณ์ และความคาดหวังว่า หุ้นตัวนั้นดี ราคาไม่แพง หรือน่าที่จะทำกำไรได้ เพราะฉะนั้น การวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นการบอกถึงอารมณ์ของคนที่ ซื้อขายหุ้นตัวนั้นเป็นเช่นไร และมีแนวโน้มไปในทิศทางใด เหตุเพราะ

- ราคาหุ้นเป็นผลรวมที่สะท้อน ถึงการทราบข่าวสารต่างๆไว้หมดแล้ว
- ราคาเคลื่อนที่อย่างมีแนวโน้ม
- พฤติกรรมในอดีต หรือประวัติศาสตร์มักจะเกิดซ้ำรอย

ประโยชน์ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค
- ไม่จำเป็นต้องติดตามข่าว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างจะสะท้อนออกมาทางราคาหรือกราฟอยู่แล้ว
- สามารถหยุดขาดทุนหรือเลือกที่จะขายทำกำไรได้ จากกราฟ
- มีความยืดหยุ่นในการใช้สูง
- ย่นระยะเวลาในการศึกษาในหุ้นแต่ละตัว และทำให้วิเคราะห์หลักทรัพย์ที่จะลงทุนได้มากขึ้น
- สามารถมองเห็นพฤติกรรมของหุ้น ที่จะขึ้นลงได้ก่อนที่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจะค้นหาสาเหตุที่แท้จริงพบ
- สามารถ เก็งกำไร และเลือกลงทุนในระยะสั้น หรือระยะยาวได้


ศึกษข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t15/?/